วัฒนธรรมไทยที่เราควรอนุรักษ์เอาไว้

           อย่างที่เรารู้กันดีว่าวัฒนธรรมไทยนั้นมีมากมายหลากหลายทั้งในเรื่องภาษาเรื่องอาหารการกินเรื่องการแต่งกายอีกทั้งยังมีในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันของคนในแต่ละภาคในแต่ละท้องถิ่นซึ่งการที่เราใช้วิถีชีวิตด้วยการให้รุ่นน้อยเคารพรุ่นใหญ่

ก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรมไทยที่มีการสืบทอดต่อกันมาจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้เรายังมีการสืบทอดวัฒนธรรมนี้เอาไว้เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยที่ดีงามด้วยการกราบไหว้จากผู้น้อยหรือคนที่มีอายุน้อยกว่าที่จะยกมือไหว้ผู้ใหญ่มีคนที่มีอายุมากกว่าเมื่อมีการเจอหน้ากันซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสั่งสอนให้ลูกหลาน

หรือคนในปัจจุบันนั้นรู้จักการมีสัมมาคารวะรู้จักการเคารพผู้ใหญ่และให้เกียรติผู้ใหญ่นั่นเองการที่เรายังคงยึดถือวัฒนธรรมการยกมือไหว้กันนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามซึ่งจะแตกต่างจากชาวต่างชาติที่จะไม่ได้มีการยกมือไหว้กันแต่ชาวต่างชาติจะมีการทักทายกันด้วยการใช้มือสัมผัสจับมือการหรือที่เราเรียกกันว่าเช็คแค่นั้นเอง

แต่สำหรับคนไทยแล้วการที่เราจะเจอหน้ากันเราจะใช้เป็นการยกมือไหว้ซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นคนที่อายุน้อยกว่าไหว้ผู้ใหญ่หรือคนที่อายุเท่ากันไหว้กันเองก็สามารถทำได้เพราะถือว่าเป็นวัฒนธรรมของการแสดงออกซึ่งการทักทายกันนั่นเองอย่างไรก็ตามวัฒนธรรมเกี่ยวกับเรื่องของการยกมือไหว้กัน

เมื่อเจอหน้ากันนั้นยังคงมีการทำกันอยู่ในประเทศไทยถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะเริ่มมีการนำกฎวัฒนธรรมของสากลมาใช้บ้างแล้วก็ตามแต่เมื่อใดก็ตามที่เรามีการแสดงวัฒนธรรมไทยด้วยการยกมือไหว้เมื่อชาวต่างชาติเห็นก็จะรู้สึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทยดังนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสืบสานวัฒนธรรมแบบนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีงามและเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวต่างชาติรู้จักคนไทยในรูปแบบที่แตกต่างกันกับประเทศอื่นนั่นเอง

          หากเราต้องการที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยเอาไว้เราจะต้องมีการร่วมแรงร่วมใจกันเพราะเพียงแค่คนใดคนหนึ่งไม่สามารถที่จะทำให้วัฒนธรรมไทยนั้นยังคงอยู่ต่อไปได้ดังนั้นหากเราอยากจะรู้ว่าวัฒนธรรมไทยนั้นมีอะไรบ้างและมีความสวยงามควรค่าแก่การสืบสานไว้หรือไม่เราก็ควรจะมีการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของวัฒนธรรมไทยทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของวัฒนธรรมไทยให้ดี

และส่งเสริมให้คนไทยนั้นนำวัฒนธรรมไทยที่มีเอกลักษณ์เป็นของเราเองออกมาอวดโฉมหรือใช้งานกันมากขึ้นอย่างเช่นจะเห็นได้ว่าในแต่ละปีนั้นทางด้านรัฐบาลมักจะมีการส่งเสริมเกี่ยวกับเรื่องของวัฒนธรรมโดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆและภายในงานทุกคนก็จะต้องมีการสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เป็นแบบโบราณเพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทย

 

ได้รับการสนับสนุนโดย.    บาคาร่าฟรีโบนัส

ตำนานของ อลิซาเบธ บาโธรี่ เคาน์เตสแวมไพร์

            สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับหญิงงามชื่อว่า อลิซาเบธบาโธรี่  ในประวัติศาสตร์ของเธอนั้น ว่ากันว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีความงดงามแต่ก็มีความโหดร้ายเธอฆ่าคนเป็นผักปลาโดยในช่วงแรกนั้นเธอฆ่าสาวใช้ของเธอก่อนจากนั้นเมื่อข้าหมดประสาทแล้วเธอจะเริ่มรับคนงานจะเป็นลูกสาวชาวบ้านมาทำงานและก็เริ่มฆ่าสาวใช้เหล่านั้นจนหมด จนไม่มีใครกล้าที่จะมาสมัครทำงานกับเธอ   

ดังนั้นเป้าหมายของหญิงสาวที่เธอต้องการฆ่าฉันถูกเปลี่ยนเป็นลูกสาวของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งทุกครั้งที่เธอต้องออกงานราตรีต่างๆและก็จะมีการพูดถึงปราสาทราชวังของเธอก็มีความสวยงามแบบไหนลูกสาวเราก็ราชการก็อยากที่จะมาอยู่ที่บริษัทราชวังกับเธอมาทำงานกับเธอและเมื่อใครก็ตามที่ตกหลุมพรางมาอยู่ที่ปราสาทของเธอและเธอถูกอลิซาเบธ บาโธรี่ฆ่าตาย  ด้วยวิธีการต่างๆนานา 

    และเรื่องราวเหล่านี้รู้ไปถึงถึงของพ่อแม่ของเด็กสาวเหล่านั้นพวกเขาต่างพากันขอมาเยี่ยมลูกสาวของพวกเขาที่ปราสาทของอลิซาเบธ บาโธรี่แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้งไปจนในที่สุดพวกพ่อแม่ของเด็กสาวจึงได้เข้าไปกราบทูลพระมหากษัตริย์ให้ช่วยส่งคนมาดู  ทางด้านพระมหากษัตริย์จึงได้มีการส่งชายคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นอดีตเพื่อนรักของสามีของเธอที่มาทำการตรวจสอบ

           แล้วด้วยความหวาดกลัว  อลิซาเบธ บาโธรี่ จึงได้เชิญเพื่อนรักของสามีของเธอมารับประทานอาหารที่ปราสาทของเธอพร้อมทั้งวางยาเขาแต่โชคยังดีที่เขาไม่เป็นอะไรเขาสามารถหนีออกจากปราสาทได้และเมื่อเขารักษาตัวจนหายแล้วก็กลับมาที่ปราสาทมาอีกครั้งพร้อมกับทหารเป็นจำนวนมากมาซุ่มอยู่บริเวณด้านหน้าของปราสาท

และเมื่อได้จังหวะเขาก็ให้เหล่าทหารทั้งร้ายบุกเข้าไปในประสาทซึ่งทำให้พวกเขานั้นได้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อพบศพของเด็กสาวจำนวนมากอยู่ในปราสาทของอลิซาเบธ บาโธรี่ จึงเป็นที่มาของการจับตัว อลิซาเบธ บาโธรี่ มาลงโทษ 

              โดยมีสาวใช้ของเธอที่รอดชีวิตออกมาให้การว่าเธอได้มีขั้นตอนการฆ่าสาวใช้แต่ละคนยังไงและยังบอกอีกด้วยว่าเพื่อนำเลือดของหญิงสาวเหล่านั้นมากินและมาอ่านซึ่งเป็นที่มาที่หลายคนคิดว่า  อลิซาเบธ บาโธรี่ ไม่ใช่มนุษย์แต่เธอคือแวมไพร์วิธีฆ่าคนเพื่อหวังกินเลือด

และในที่สุดเธอก็ถูกพิพากษาโทษ และเธอถูกจับขังในปราสาทของตัวเอง และมีการโบกปูนห้องขังนั้น ให้เป็นห้องปิดตาย เหลือเพียงช่องเล็กๆเอาไว้เพื่อยื่นอาหารไปให้เธอกิน และในทุกอาทิตย์จะมีบาตรหลวงก็มาเทศนาให้เธอฟัง และในปี ค.ศ. 1614  อลิซาเบธ บาโธรี่ ก็เสียชีวิตลง 

ศพของเธอถูกนำมาฝังไว้อยู่ในบริเวณพื้นที่ของปราสาทของเธอนั่นเองและเมื่อระยะเวลาผ่านไปปลายปีได้มีคนมาขุดสุสานของเธอขึ้นมาเมื่อเปิดลองออกดูก็ไม่พบว่ามีร่างกายของ อลิซาเบธ บาโธรี่ อยู่ด้านในทำให้เสียงร่ำลือเกี่ยวกับอลิซาเบธ บาโธรี่ว่าเป็นแวมไพร์นั้นเป็นเรื่องจริง

 

สนับสนุนโดย.    เวปยูฟ่าเบท

ประเพณีวันไหว้ครู

              ครูนั้นเปรียบเสมือนผู้ที่ให้วิชาความรู้กับบุคคลที่เราเรียกว่าลูกศิษย์  ซึ่งแน่นอนว่ากว่าครูแต่ละคนจะให้ความรู้กับลูกศิษย์ได้แต่ละคนนั้นต้องใช้ระยะเวลาอย่างยาวนานและต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเพราะคนแต่ละคนนั้นมีความเรียนรู้และความสนใจใคร่รู้แตกต่างกันออกไปดังนั้นกว่าที่ครูคนนึงจะสามารถสั่งสอนให้ศิษย์คนนึงเป็นคนดีได้นั้นจึงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเลยทีเดียวจึงทำให้เป็นที่มาของการที่ในทุกๆปีนั้นจะต้องมีวันไหว้ครู

            สำหรับวันไหว้ครูนั้นจัดขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความเคารพนับถือครูบาอาจารย์ที่ได้มีการเสียสละเวลาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดีนั่นเองซึ่งประเพณีการไหว้ครูนั้นเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณแล้วและการไหว้ครูนั้นไม่ใช่เพียงแค่การไหว้ครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนเท่านั้นแต่ยังมีครูต่างๆมากมาย

หลายสาขาอาชีพที่นับว่าเป็นครูและได้มีการจัดพิธีไหว้ครูเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของการเรียนนาฏศิลป์  โรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของการแสดง   โรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของการแผนนวดไทยโบราณหรือแม้แต่โรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของโหราศาสตร์ต่างๆ

  หรือปัจจุบันสถาบันการศึกษาที่สอนหลักสูตรต่างๆก็นับว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่ให้ประสาทความรู้และวิชาดังนั้นลูกศิษย์ลูกหาจึงควรที่จะมีการกำหนดวัน 1 วันเพื่อจัดทำพิธีกรรมไหว้ครูขึ้นมาซึ่งพิธีกรรมไหว้ครูนี้เป็นพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการระลึกถึงพระคุณของคุณครูที่เคยให้ความรู้มานั่นเอง

ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าถ้าหากเรานั้นได้มีการจัดพิธีกรรมไหว้ครูขึ้นมาแล้วจะทำให้ชีวิตของลูกศิษย์ลูกหาคนนั้นมีแต่ความรุ่งเรืองอนาคตมีแต่ความสุขสมบูรณ์นั่นเองเพราะการไหว้ครูนั่นย่อมหมายถึงว่าลูกศิษย์คนนั้นนับถือคุณครูด้วยความใจจริง

          การจัดพิธีไหว้ครูของแต่ละสถานที่นั้นก็จะแตกต่างกันตามวันเวลาและลักษณะของการไหว้ครูซึ่งถ้าเป็นการไหว้ครูภายในโรงเรียนนั้นเด็กนักเรียนก็จะมีการจัดเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนแล้วนำไปไหว้ครูร่วมกันซึ่งโดยปกติแล้วการไหว้ครูนั้นจะจัดขึ้นช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมหรือบางโรงเรียนอาจจะมีการเลื่อนไปตัดในเดือนมิถุนายนโดยปกติแล้วการไหว้ครูต้องมีการตัดไหว้ในวันพฤหัสบดีเท่านั้นแต่ไม่ได้มีการกำหนดตายตัวว่าจะเป็นพฤหัสบดีที่เท่าไหร่ปกติแล้วเราจะเห็นว่าการจัดพานไหว้ครูนั้นจะตรงกับวันที่ 16  

สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของวันไหว้ครูที่ให้มีการจัดให้ตรงกับวันพฤหัสบดีนะเพราะว่าความเชื่อนี้ได้รับอิทธิพลมาจากพวกพราหมณ์โดยระบุว่าวันพฤหัสบดีนั้นในเวลากลางวันถือว่าเป็นธาตุไปส่วนในเวลากลางคืนนั้นถือว่าเป็นธาตุน้ำซึ่งดาวพฤหัสบดีนั้นนับได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นดาวที่ให้ความรู้แก่มวลมนุษย์ดังนั้นส่วนใหญ่จึงถือเอาวันพฤหัสเป็นหลักในการที่จะจัดพิธีไหว้ครูนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  sagame

ตำนานสี่หูห้าตา 

        ตำนานที่จะพูดในวันนี้มีชื่อว่า ตำนานสี่หูห้าตา  ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ของคนจังหวัดเชียงราย  โดยตำนานนี้มีการกล่าวถึงเกี่ยวกับสาเหตุของการสร้างพระธาตุดอยเขาควายเอาไว้ด้วย

        สำหรับตำนานนี้เรื่องมีอยู่ว่า มีเด็กชายคนหนึ่งมีฐานะยากจน พ่อแม่ เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ก่อนที่พ่อจะตายได้สั่งเสียลูกชายเอาไว้ว่า หากว่าพ่อตายไปแล้วให้นำร่างกายของพ่อไปฝังดินเอาไว้ และรอให้ร่างกายของพ่อนั้นเน่าเปื่อยจนเห็นแต่กะโหลก หลังจากนั้นให้ขุดเอาหัวกะโหลกของพ่อขึ้นมาแล้ว

นำไปกราบไหว้บูชา ซึ่งเด็กชายจะต้องกราบไหว้หัวกระโหลกของพ่อจนกว่าจะอายุครบ 17 ปี และเมื่ออายุครบ 17 เมื่อไหร่ก็ให้นำหัวกระโหลกของพ่อไปวางไว้ตรงบริเวณทางขึ้นของดอยเขาควาย โดยเด็กชายจะต้องเอาไปวางไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้น

ซึ่งลักษณะของการเอากระโกลกไปวางไว้นั้นจะต้องเอาเชือกผูกแล้วลากหัวกระโหลกเท่านั้นซึ่งหากกระโหลกไปหยุดตรงไหน เขาจะต้องเอาบ่วงดักสัตว์ไปวางไว้ตรงนั้น 

   แน่นอนว่าเด็กหนุ่มทำตามที่พ่อสั่งเสียไว้ก่อนตาย และเขาก็สามารถจับสัตว์ได้ตัวหนึ่ง ซึ่งสัตว์ตัวดังกล่าวมีลักษณะแปลกประหลาด มีสีหูห้าตา  เขาได้นำสัตว์ตัวนั้นกลับไปเลี้ยง แต่เอาอะไรให้กินมันก็ไม่ยอมกิน เขาสังเกตุเห็นว่าสัตว์ตัวนั้นกินถ่านแทนอาหารนับตั้งแต่นั้น เขาก็มักจะเตรียมถ่านเอาไว้ให้สัตว์เลี้ยงกิน

และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากก็คือทุกครั้งที่สัตว์ของเขากินถ่านมันจะอึออกมาเป็นทองคำ ดังนั้นตั้งแต่มีสัตว์ตัวนี้มาเขาก็ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีนั่นเอง ต่อมาเจ้าผู้ครองเมืองได้ประกาศหาคู่ให้กับลูกสาวของตัวเอง และมีการกำหนดเอาไว้ด้วยว่าหากใครที่จะมาเป็นลูกเขยของตนเองนั้นจะต้องสร้างรางน้ำฝนซึ่งเป็นทองคำโดยความยาวให้ยึดจากบ้านของคนที่สร้างเองมาจนถึงห้องนอนของเจ้าหญิง

ซึ่งชายหนุ่มทำได้สำเร็จหลังจากนั้นก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง แต่ด้วยความสงสัยว่าชายหนุ่มทำได้อย่างไรพระราชา จึงได้ถามและเมื่อชายหนุ่มเล่าให้ฟัง พระราชาก็คิดอยากจะครอบครองสัตว์ตัวดังกล่าวเอง ระหว่างที่แอบจับสัตว์ประหลาดที่มีสี่หูห้าตานั้น เกิดพลัดหลงเข้าไปในถ้ำแล้วถ้ำเกิดพังลงมาโชคดีที่หนีออกมาได้ทัน ทำให้พระราชาคิดได้ว่าไม่ควร

และด้วยความที่สำนักกับสิ่งทีทำทำให้พระราชาได้ยกเมืองให้ชายหนุ่มได้ปกครองแทน และเมื่อได้ขึ้นครองเมืองเขาก็ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญพร้อมกับสร้างวัดพระธาตุดอยเขาควายขึ้นมา และตั้งแต่ชายหนุ่มได้ขึ้นปกครองเมืองสัตว์สี่หูห้าตาก็ไม่มาปรากฏให้เห็นอีกเลย 

 

สนับสนุนโดย    บาคาร่าออนไลน์ ได้เงินจริง