ประวัติของ พระเจ้าอักบาร์มหาราช

       สำหรับประวัติความเป็นมาของ พระเจ้าอักบาร์มหาราช นั้น พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์มาแล้ว หลาร้อยปี และตอนที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ นั้นพระองค์ เป็นกษัติย์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดพระองค์หนึ่ง    พระสมัยของพระองค์ถือได้ว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากที่สุดของจักรวรรดิโมกุลในประเทศอินเดียเลยทีเดียว 

    นอกจากความสามารถอันเก่งกาจที่ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ที่ทรงสามารถแผ่ขยายดินแดนอินเดียได้อย่างกว้างขวางแล้วความยิ่งใหญ่ของพระองค์ยังอยู่ที่การให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนอีกด้วย  โดยพระเจ้าอักบาร์มหาราช นั้นพระองค์มมีวิธีการต่างต่างมากมายในการปกครองประชาชน และการปกครองของพระองค์นั้นก็มีความต่างจากกษัตริย์มุสลิมองค์อื่นอื่นที่ผ่านมามากเลยทีเดียว 

       เนื่องจากว่าหากเป็นกษัตริย์องค์อื่นอื่นนั้น มักจะกีดกันคนนอกศาสนาอยู่เสมอ แต่สำหรับ พระเจ้าอักบาร์มหาราช นั้นพระองค์ทรงมอบเสรียภาพให้กับประชาชน ที่จะเลือกนับถือศาสนาอะไรก็ได้ สำหรับเสรีภาพที่ว่าก็อย่างเช่นทรงแต่งตั้งขุนนางและข้าราชการต่างๆสมัยโมกุลโดยปราศจากอคติทางศาสนา  

     พระองค์ทรงริเริ่มศานาใหม่ในรัชสมัยของตัวเอง โดยมีการตั้งชื่อว่าศาสนา ดินอิอิลาฮี หรือแปลว่าชนะแห่งพระเจ้าซึ่งเป็นความพยายามที่จะรวบรวมศาสนาอิสลามเท่ากับคริสต์อินดู เชนและศาสนาอื่นเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางศาสนาที่จะเกิดขึ้นระหว่างประชาชน

  และไม่เพียงเท่านั้น  พระเจ้าอักบาร์มหาราชยังกระทำการที่แตกต่างจากกษัตริย์มุสลิมยุคก่อนอย่างสิ้นเชิงเช่นพระองค์ให้การสนับสนุนให้ผู้ที่นับถือศาสนาต่างกันมีกิจกรรมทางศาสนาที่สามารถทำร่วมกันได้

     พระเจ้าอักบาร์มหาราช ทรงเปิดรับวิทยาการจากทุกศาสนาดังจะเห็นได้จากการที่มีที่ปรึกษาเป็นนักปราชญ์หลายศานาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ   คริสต์   อิสลามและฮินดู   ทรงสั่งให้ยกเลิกการจ่ายภาษี ซีซียา จากบุคคลผู้นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่มุสลิมและอื่นๆ อีกมากมาย

ด้วยพระอัจฉริยภาพและทัศนคติที่ล้ำสมัยเปิดกว้างดังนี้จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ครั้ง 49 ปีถือเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์โมกุลเจริญรุ่งเรืองถึงจุดสูงสุดแข็งแกร่งที่สุดและมีราชอาณาเขตกว้างไกลที่สุด 

     อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ผู้คนในแต่ละประเทศนั้นจะมีการนับถือศาสนาที่มีความแตกต่างกันออกไปแต่ทุกคนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและไม่มีปัญหาทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งคนต่างศาสนาปัจจุบันก็สามารถแต่งงานกันได้และใช้ชีวิตด้วยกันได้ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกันดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพระเจ้าอักบาร์มหาราชนั้นคือต้นแบบของการให้คนที่นับถือต่างศาสนากันสามารถอยู่ร่วมกันของทุกศาสนาได้อย่างมีความสุขนั่นเอง 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    gclub

Dead Sea Scrolls

ม้วนหนังสือ Dead Sea หรือ Dead Sea Scrolls เป็นม้วนกระดาษโบราณ

     ม้วนหนังสือ Dead Sea หรือ Dead Sea Scrolls เป็นม้วนกระดาษโบราณ  ซึ่งม้วนหนังสือนี้มีการพบเห็นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1947   ว่ากันว่าจำนวนหน้าหนังสือเล่มนี้นั้นมีมากว่า เก้าร้อยหน้าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการเล่าลือกันว่าม้วนหนังสือนี้น่าจะมีการแต่งหรือเขียนขึ้นมาตั้งแต่สี่ร้อยปีก่อนคริสตกาล  ที่ถ้ำกุมลานของอิสราเอลใกล้ทะเลสาบเดดซี   

       ปริศนาของหมวดหนังสือเดดซีมีอยู่มากมายตั้งแต่ตัวคนเขียนซึ่งไม่ทราบแน่ชัดแต่นักวิชาการบางคนเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้เขียนโดยคณะนักบวชซึ่งเป็นคณะนักบวชโบราณในศาสนายูดาห์กลุ่มหนึ่งที่ชอบปลีกวิเวกอยู่โดดเดี่ยวและหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์เป็นเวลากว่าสองพันปีมาแล้ว

ข้อความส่วนใหญ่ในหมวดหนังสือเดดซีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาซึ่งนักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่าม้วนหนังสือเดดซีคือคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่าแก่ที่สุดของโลกเท่าที่เคยค้นพบมายังถูกยกให้เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ด้วย

       ตำนาน Shroud of Turin 

     ผ้าห่อศพแห่งตูรินถูกเชื่อว่าเป็นผืนผ้าที่ใช้ห่อประสบของพระเยซู  สำหรับผ้าห่อศพนี้มีการเจอครั้งแรกเมื่อปี 1357 โดยสถานที่ที่เจอผ้าห่อศพนี้ก็คือที่เมืองไรรี่ย์ ที่ประเทศฝรั่งเศส   สิ่งที่ทำให้ผ้าลินินผืนนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลกคือเมื่อปี 1898 มีการถ่ายภาพผืนผ้าเป็นครั้งแรก

โดยถ่ายแบบภาพ Negative ทำให้ปรากฏภาพใบหน้าของพระเยซูอย่างชัดเจนและยังมีรอยคราบเลือดที่สอดคล้องกับตำแหน่งที่พระเยซูบาดเจ็บจากการถูกตรึงกางเขนด้วยชาวคริสต์จำนวนมากซึ่งศรัทธาและเชื่อว่าผ้าผืนนี้คือผ้าห่อพระศพของพระเยซูของจริง 

      อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้อย่างมากเช่นเดียวกันว่าผ้าห่อศพแห่งตูรินนี้จะเป็นของปลอม ไม่ใช่ของท้า ซึ่งอาจจะมีการสร้างทำขึ้นมาใหม่ เพื่อสำหรับให้คนที่มีความศรัทธานั้น บูชา โดยอาจจะมีการสร้างมาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 14 แล้วก็ตามที

      ด้านนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถสรุปเกี่ยวกับ เรื่องนี้ได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ว่าเป็นผ้าที่เห็นกันอยู่นี้เป็นการทำเลียนแบบขึ้นมาภายหลังหรือไม่  เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็มีการใช้น้ำยาทางเคมี ซึ่งเป็นน้ำยาทางวิทยาศาสสตร์ มาทำการทดสอบไปแล้ว

ซึ่งผลจากการทดสอบนั้นก็สามารถที่จะทำให้เชื่อได้ว่าผ้านี้เป็นของจริงเพราะว่า  มีสารประกอบเหล็กออกไซด์ในผ้าผืนดังกล่าว โดยสารนั้นอาจมาจากสีหรือเลือดของคนก็ได้  ปัจจุบันมีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งเอาไว้ในกรอบที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในวิหารเซนต์ John The baptist ประเทศอิตาลี 

 

สนับสนุนโดย.    ufabet เว็บหลัก

ประวัติการปลูกพืชเป็นแบบแถวและเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์

 

      เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าต้นกำเนิดของมนุษย์นั้นมีจุดกําเนิดอย่างไรในช่วงยุคแรกๆนั้นผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างไร เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์   ซึ่งส่วนใหญ่ที่มีการพูดคุยกันอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นลักษณะของข้อสันนิษฐานเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่สิ่งที่หนึ่งที่เราสามารถรู้ได้เลย

ก็คือในสมัยโบราณนั้นมนุษย์ในยุคก่อนก่อนนั้นมักจะมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยกันและกันเลี้ยงชีพของพวกเขาเหล่านั้นก็คือการเพาะปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้สำหรับในการเป็นอาหารนั้นเอง  

       อย่างที่เรารู้กันดีว่าในสมัยก่อนนั้นผู้คนไม่ได้มีการนำอาหารออกมาเพื่อทำการค้าขายแต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเลี้ยงเอาไว้กินกันเองดังนั้นจึงต้องหาวิธีการที่จะสามารถเลี้ยงสัตว์หรือว่าปลูกผักได้ให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุดซึ่งเชื่อกันว่าในระยะแรกนั้นต่างก็จะใช้วิธีการนำเมล็ดพืชพันธุ์ไปหว่านลงดิน

เพื่อที่จะได้ทำการปลูกพืชแต่แน่นอนว่ากรณีที่เราเอามาได้ไปหว่านตามดินต่างๆอย่างเดียวนั้นบางทีมันก็เสี่ยงที่เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นอาจจะไม่เจริญงอกงามซึ่งทำให้สูญเสียเมล็ดพันธุ์ไปฟรีๆได้

       อย่างไรก็ตามมีการเปิดเผยออกมาเกี่ยวกับเรื่องของการหว่านเมล็ดพันธุ์ของคนจีนว่าในสมัยโบราณนั้นชนชาติจีนเป็นชนชาติแรกที่รู้จักกันฝังกลบเมล็ดพันธุ์และการปลูกพืชให้เป็นแถวเป็นแนวซึ่งว่ากันว่าขั้นตอนต่างๆเหล่านี้นั้นชาวจีนรู้จักมานานมากกว่า 2600 ปีมาแล้วที่สำคัญไม่ใช่เพียงแค่การนำมาใช้ประโยชน์ลงดินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

        แต่คนจีนในสมัยโบราณยังมีการวัดระยะห่างของเมล็ดพันธุ์แต่ละหลุมเพื่อให้เกิดความเหมาะสมซึ่งถ้าหากว่ามีการเว้นช่วงให้ดีจะทำให้เมล็ดพันธุ์หรือพืชผลที่มีการปลูกเอาไว้นั้นเติบโตได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรงและจะได้ผลิตผลที่ดีกว่าเดิม   นอกจากนี้เทคนิคการปลูกพืชพันธุ์ต่างๆเหล่านี้ก็ถูกมีการเผยแพร่ออกไปในชาติตะวันตกอีกด้วย

          อย่างไรก็ตามจากการค้นพบพบว่าชาติตะวันตกนั้นเพิ่งทำการปลูกเมล็ดพันธุ์แบบเว้นระยะห่างเมื่อประมาณพันปีมาแล้วนั่นหมายถึงว่าชาติจีนเป็นชาติแรกของการคิดค้นการปลูกพืชพรรณแบบเว้นระยะห่างและที่สำคัญจีนเป็นชนชาติที่คิดค้นเครื่องหยอดเมล็ดพันขึ้นมาใช้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวหรือราว 200 ปีก่อน

คริสตกาลโดยใช้เครื่องมือขุดดินตามแนวที่เกษตรกรไทยผ่านมาพร้อมกับหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปในตัวและปิดหน้าดินได้อย่างรวดเร็วประหยัดเวลาลดการสูญเสียและมีประสิทธิภาพในการงอกมากกว่าเดิม 

         ปัจจุบันการหยอดเมล็ดในหลายประเทศจะใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนแล้ว เพราะรวดเร็วและไม่เหนื่อยอีกด้วย 

 

สนับสนุนโดย.  Ufabet เข้าสู่ระบบ

วัฒนธรรมการสักของชาวแอฟริกา

      การสักของชาวแอฟริกา   ชื่อว่าหลายคนคงเคยมีโอกาสเห็นการสักบนผิวหนังกันมาบ้างแล้วเพราะคนไทยส่วนใหญ่นั้นก็นิยมมีการสักมาตั้งแต่ในยุคสมัยโบราณแต่ในเรื่องของการสักนั้นแต่ละสถานที่หรือแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้นก็จะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการสักนั้นแตกต่างกันออกไป

ลักษณะของลวดลายของการสักนั้นก็จะมีความแตกต่างกันไม่คล้ายคลึงกันส่วนจุดประสงค์ของการสักนั้นแต่ละสถานที่นั้นก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไปเช่นเดียวกัน

อย่างเช่นในสมัยโบราณของชาติแอฟริกาหรือแม้แต่ชาติตะวันตกนั้นก็จะเป็นการสักเพื่อบันทึกถึงเรื่องราวประวัติความเป็นมาในอดีตหรือแม้แต่มีการเข้าไปในฝ่ายของศัตรูแล้วสัตว์บอกเรื่องราวบนร่างกายเอาไว้เพื่อนำเรื่องราวของข้าศึกศัตรูนั้นกลับมาให้ฝ่ายของตนเองได้รับทราบหรือเป็นการสัก

เพื่อบอกถึงพัฒนาการของอายุและประวัติความเป็นมาของบุคคลนั้นๆเป็นต้นซึ่งแน่นอนว่าแต่ละสถานที่แต่ละยุคแต่สมัยนั้นลักษณะของลวดลายนั้นก็ไม่มีความคล้ายคลึงกันเลยแต่ปัจจุบันนั้นการสักนั้นกลายมาเป็นศิลปะอย่างหนึ่งและกลายมาเป็น แฟชั่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับการสักของชาวแอฟริกาว่ามีความเป็นมาหรือมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของการสักครั้งนี้อย่างไรได้บ้าง 

      สำหรับในดินแดนแอฟริกาทางตอนเหนือที่เคยเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุคโบราณอย่างอียิปต์ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการสักที่ว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปแล้วในวันข้างหน้าดวงวิญญาณนั้นจะกลับมาอีกครั้งการที่บันทึกเครื่องหมายเอาไว้บนร่างกายจึงเป็นดั่งสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าครั้งหนึ่งวิญญาณของคนผู้นั้นเคยอาศัยอยู่ในร่างนี้

         ดังนั้นเรามักจะเห็นว่าเมื่อมีการขุดค้นพบซากศพของคนในสมัยโบราณก็จะมีพบว่าตามร่างกายของคนในสมัยโบราณนั้นมีการสกัดเอาไว้ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่ทำให้เห็นอารยธรรมนับพันปีที่ผ่านมานั้นเอง   นอกจากนี้นับเป็นเวลานับพันปีมาแล้วเช่นกันที่การสักของชนเผ่าในแอฟริกากลางเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นยารักษาโรค  หมอผีและการเข้าร่วมชนเผ่า

         นอกจากนี้เรายังสามารถสังเกตเห็นได้จากผิวหนังของหัวหน้าชนเผ่าแอฟริกามักจะทำหน้าที่เสมือนผ้าใบที่เก็บสัญลักษณ์รายละเอียดเรื่องราวของเราเอาไว้บริการทำให้เป็นแผลเป็นของชาวแอฟริกาโดยการทำให้เป็นรอยนูนขึ้นบนผิวหนังแทนการลงสีมีการให้ความหมายแสดงออกถึงการพัฒนาของชีวิตในแต่ละช่วงวัยถือว่าเป็นการสักและเป็นรูปแบบของศิลปะบนผิวหนังอีกประเภทหนึ่งที่นิยมของชาวแอฟริกา  

 

สนับสนุนโดย.  ufabet ฝากถอน ไม่มีขั้นต่ำ ออโต้