แนะนำ เที่ยวประเพณีการไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม 

          ในทุกๆปีจังหวัดนครพนมจะมีการจัดประเพณีอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งจะต้องอยู่กับช่วงเทศกาลวันออกพรรษาโดยจะมีการจัดบริเวณริมแม่น้ำโขงซึ่งจุดที่มีการจัดงานนั้นจะจัดบริเวณศาลากลางประจำจังหวัด  

โดยประเพณีนี้นักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากจะพากันเดินทางเพื่อไปร่วมงานซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมมหกรรมไหลเรือไฟซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อันเก่าแก่และล้ำค่าประจำจังหวัดเลยก็ว่าได้และเป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่างประเทศให้ไปชมความงดงามของประเพณีและวัฒนธรรมของชาวจังหวัดนครพนมกัน 

         สำหรับความยิ่งใหญ่อลังการน่าตื่นตาตื่นใจของประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนมนั้นมีเกิดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ซึ่งแม่น้ำโขงยามค่ำคืนจะมีความสวยงามเนื่องจากว่าจะสว่างไสวจากไฟที่มีการประดับประดาบนเรือซึ่งมีการสร้างเรือให้ลอยไปตามแม่น้ำตามความเชื่อของคนในสมัยโบราณที่เชื่อกันว่าเป็นการบูชาพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในแม่น้ำโข

เที่ยวประเพณีการไหลเรือไฟ ซึ่งชาวบ้านจะมีการนำเรือมาล่องกลางแม่น้ำโขงและนำตะเกียงนักเหมือนดวงและดวงไฟนับพันดวงมาประดับประดาเป็นรูปทรงต่างๆทำให้เกิดความสวยงามซึ่งเกิดจากความศรัทธาของประชาชนชาวจังหวัดนครพนมและนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยี่ยมชมความงดงาม 

         อย่างไรก็ตามผู้คนให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเพณีการไหลเรือไฟเป็นอย่างมากเพราะเชื่อว่ายิ่งมีการประดับประดาเรือไฟให้มีความสวยงามสว่างช่วยมากแค่ไหนก็จะยิ่งทำให้ประสบความสําเร็จในชีวิตและชีวิตแต่มีแต่ความรุ่งโรจน์สว่างไสวมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นประเพณีการไหลเรือไฟจึงถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครพนมเลยก็ว่าได้

         นอกจากนี้ประเพณีการไหลเรือไฟยังเป็นตัวดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดนครพนมในช่วงเทศกาลวันออกพรรษาเพราะว่าประเพณีการไหลเรือไฟนั้นเป็นประเพณีที่มีความงดงามและยังมีกิจกรรมอื่นๆให้นักท่องเที่ยวทำอีกเยอะแยะมากมาย  ufabet    ซึ่งในแต่ละปีนั้นก็จะมีคนสร้างเรือไฟที่มีแนวความคิดสร้างสรรค์แตกต่างกันในแต่ละปีมาประชันขันแข่งกันว่าของใครนั้นจะมีความงดงามมากกว่ากัน 

        อย่างไรก็ตามการจัดประเพณีการไหลเรือไฟนั้นยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกเยอะแยะมากมายทั้งการออกบูธการแสดงต่างๆที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะวัฒนธรรมของจังหวัดนครพนมดังนั้นหากใครมีเวลาว่างก็สามารถเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดนครพนมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ ซึ่งโดยปกติแล้วทางจังหวัดนครพนมจะมีการจัดประเพณีการไหลเรือไฟประมาณ 7 วันโดยมีกิจกรรมทั้งกลางวันและช่วงเวลากลางคืนเลยทีเดียว

การปกครองแผ่นดินของกษัตริย์รัสเซีย

   ในปัจจุบันโลกของเราก็จะมีทั้งหมด 169 ประเทศทั่วโลกโดยอันดับประเทศที่มีขนาดที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 196 เลยก็คือ นครรัฐวาติกัน อันดับ 4 สสหรัฐอเมริกา อันดับ 3 จีน อันดับ 2 แคนาดา และประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของโลกนั่นก็คือ ประเทศรัสเซีย 

โดยมีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ที่อยู่อาศัยบนโลกถึง 1ใน 8 ประเทศรัสเซียตั้งอยู่ทวีปยูเรเชียหรือมีพื้นที่ครอบคุมทั้งทวีปยุโรปและทวีปเอเชียมีดินแดนทางบกติดกับประเทศ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ เอสโตเนีย รัฐเวียร์ ลิทัวเนีย โปแลนด์ เบลารุส ยูเครน จอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน มองโกเลี่ย จีน และ เกาหลีเหนือ และมีดินแดนทางน้ำติดกลับประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

การปกครองแผ่นดินของกษัตริย์รัสเซีย ซึ่งมีทะเลที่สำคัญมากมาย เช่น ทะเลบอลติก ทะเลดำ ทะเลแคสเปียน ส่วนสาเหตุที่ทำให้ประเทศรัสเซียมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นถ้าพูดง่ายๆเลยก็เป็นเพราะว่าหนึ่งกษัตริย์ของรัสเซียตั้งแต่ในอดีตมีความชื่นชอบในการสู้รบเพื่อขยายอาณาเขตเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ประชาชนจะยากจนอดตายเพียงใดก็สามารถนำเงินมาซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อบุกยึดประเทศอื่นๆได้เสมอสองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศรัสเซียตั้งอยู่ในทวีปเอเชียที่มีไซบีเรียนซึ่งเป็นดินแดนแห่งความหนาวเหน็บและยากต่อการดำรงชีวิตเป็นบริเวณกว้างจึงไม่มีใครในโลกอยากจะมาอยู่ที่นี่รัสเซียก็ไปยึดมา

สามในสมัยก่อนยุโรปมองว่าประเทศรัสเซียลึกลับและป่าเถื่อนจึงทำให้เป็นโอกาศให้รัสเซียมีเวลาได้ขยายอาณาเขตอย่างอิสระซึ่งกว่ายุโรปจะมารู้จักประเทศรัสเซียจริงๆก็เป็นตอนที่รัสเซียมีขนาดที่ใหญ่ไปแล้ว สี่ในสมันที่รัสเซียขยายอาณาเขตใหม่ในพื้นที่ข้างเคียงส่วนมากมีชนเผ่าเร่ร่อนไม่มีผู้นำหรือกษัตริย์ปกครองอยู่จึงง่ายต่อการเข้าครอบครอง

ห้าภูมิประเทศของรัสเซียส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่มไม่มีภูเขาจึงง่ายต่อการนำกองทัพทหารม้าและการเดินเท้าเข้าไปบุกโจมตีโดยจุดเริ่มต้นของประเทศรัสเซียเมื่อประมาณ1200กว่าปีที่แล้วทุกคนเชื่อหรือไม่ว่ามันเกิดขึ้นกับชนเผ่าเร่ร่อนกลุ่มเล็กๆในปีคริสต์ศักราช1800ชาวสลาฟตะวันออกได้เร่ร่อนๆไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งมาเจอพื้นที่ว่างเล็กๆบริเวณทะเลดำและทะเลบอลติกชาวสลาฟตะวันออกเลยลงหลักปักฐานกันที่นี่และใช้ชีวิตไปแบบไม่มีกษัตริย์แต่ในปีคริสต์ศักราช1862ชาวสลาฟตะวันออกก็แต่งตั้งพระเจ้ายูริแห่งราชวงศ์ยูริขึ้นเป็นกษัตริย์เพื่อรวบรวมประเทศและป้องกันอันตรายจากผู้บุกรุก

ซึ่งทันทีที่พระเจ้ายูริได้ขึ้นครองราชย์จักรวรรดิรัฐก็ค่อยๆเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นจนกระทั่งในปีคริสต์ศักราช882ที่เป็นสมัยของพระเจ้าKievพระองค์ได้บุกเข้าตีเมืองเคียฟที่เป็นเมืองหลวงของชาวยูเครนในปัจจุบันได้สสำเร็จ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ทางเข้า ufabet ภาษาไทย

คำแนะนำเกี่ยวกับการไปเที่ยวชมเทศกาลบั้งไฟพญานาค 

    ชมเทศกาลบั้งไฟพญานาค   อย่างที่เรารู้กันดีว่าที่จังหวัดหนองคายนั้นเมื่อถึงวันออกพรรษาจะมีการจัดประเพณีบั้งไฟพญานาคและมีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ไปร่วมงาน

ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวคนไหนที่อยากจะไปร่วมงานเทศกาลบั้งไฟพญานาคคุณจะต้องไปทำการจองที่พักก่อนที่จะมีการเดินทางไปแนะนำว่าควรจะมีการจองที่พักตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นการจองที่พักล่วงหน้า

           เพราะถ้าหากว่าต้องการไปค้างคืนหรือไปร่วมงานนั้นไม่ได้มีการจองที่พักล่วงหน้าเรียกได้ว่าจะไม่มีที่ให้คุณพักได้อย่างแน่นอนซึ่งสถานที่ที่ควรจะมีการพักตามโรงแรมนั้นก็คือที่พักที่อำเภอรัตนวาปีและอำเภอโพนพิสัยเพราะอยู่ใกล้กับสถานที่ในการจัดงานบั้งไฟพญานาคมากที่สุดและอีกอย่างนึงทั้งสองอำเภอนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ที่พักไม่ค่อยมีเยอะมากเท่าไหร่นัก 

         สำหรับการไปร่วมงานเทศกาลบั้งไฟพญานาคนั้นต้องเที่ยวจะได้เจอกับกิจกรรมเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมประเพณีทำบุญตักบาตรในช่วงตอนเช้าและยังมีการชมการแสดงกระทงยักษ์รวมถึงการไหลเรือไฟและการแข่งขันเรือยาวเป็นต้นกิจกรรมนั้นจะมีการจัดกิจกรรมทางช่วงเวลากลางวันและช่วงเวลากลางคืนซึ่งจะมีสินค้าเพื่อให้นักท่องเที่ยวเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นของจีนของใช้หรือผลิตภัณฑ์ OTOP ก็ตาม

         นอกจากนี้ตลอดการจัดงานนั้นนักท่องเที่ยวยังได้เพลิดเพลินกับบรรดานักดนตรีที่จะมาแสดงตนเองให้ฟังซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเยอะแยะมากมาย  สำหรับการจัดงานเทศกาลบั้งไฟพญานาคนั้นไม่ได้จัดเพียงแค่วันหรือ 2 วันเท่านั้นแต่จะเกิดขึ้นประมาณ 7 วัน 7 คืนกันเลยทีเดียว

      นอกจากนี้ผู้คนที่เดินทางไปร่วมงานเทศกาลบั้งไฟพญานาคต่างก็พากันเฝ้าหวังว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์เมื่อลูกไฟพญานาคด้วยพวยพุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำโขง

ซึ่งโดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นในวันออกพรรษาโดยนักท่องเที่ยวจะมองเห็นลูกไฟนานประมาณ 5-10 วินาทีและลูกไฟจะแหวะพุ่งขึ้นไปกลางอากาศมีความสูงประมาณ 50 ถึง 150 เมตรดังนั้นนักท่องเที่ยวควรจะมีการเฝ้ารออยู่ตรงบริเวณริมตลิ่ง  สล็อตยูฟ่าเว็บตรง    เพื่อให้เห็นอย่างชัดเจนซึ่งโดยปกติแล้วลูกไฟจะขึ้นในช่วงเวลาตอนเที่ยงคืนโดยจะขึ้นทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 

          สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่อยากจะเห็นปรากฏการณ์ลูกไฟสีแดงขึ้นกลางแม่น้ำโขงนั้นสามารถไปชมได้ริมแม่น้ำโขงซึ่งจะมีทั้งอำเภอสังคมและอำเภอศรีเชียงใหม่นอกจากนี้อำเภอรัตนวาปีและอำเภอโพนพิสัยจังหวัดหนองคายก็สามารถมองเห็นได้หรือหากใครจะไปที่จังหวัดบึงกาฬก็สามารถชมได้ที่อำเภอปากคาดนั่นเอง

ประวัติวัดศรีสวาย จังหวัดสุโขทัย 

        สำหรับในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักประวัติความเป็นมาของวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีความเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุโขทัย ประวัติวัดศรีสวาย

โดยวัดที่เราจะพาไปรู้จักกันในครั้งนี้นั้นเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยซึ่งถือได้ว่าวัดแห่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากและเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่สำคัญของประเทศไทยเลยก็ว่าได้โดยวัดที่เรากำลังพูดถึงนี้ก็คือวัดศรีสวายนั่นเอง

        สำหรับประวัติความเป็นมาของวัดศรีสวายนั้นว่ากันว่าวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงของพุทธศตวรรษที่ 18 เลยก็ว่าได้ซึ่งวัดแห่งนี้นั้นเป็นวัดที่มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างมากหลังจากที่มีการสร้างขึ้นมาแล้ววัดแห่งนี้ก็ยังได้มีการบูรณะต่อเติมเพิ่มเติมขึ้นมาให้กลายมาเป็นศาสนสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยมีการบูรณะเพิ่มเติมในสมัยอยุธยาอย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าวัดแห่งนี้นั้นมีสิ่งก่อสร้างที่มีความเก่าแก่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นปรางค์ 3 องค์ซึ่งว่ากันว่าปรางค์ 3 องค์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสมัยขอมโดยจะเห็นได้จากรูปแบบลักษณะของการก่อสร้างนั้นเป็นรูปแบบของสมัยลพบุรี

          นอกจากนี้ยังดูที่ลวดลายปูนปั้นบริเวณฐานก็มีความสวยงามทันสมัยที่สำคัญบางส่วนของบริเวณฐานนั้นยังมีลวดลายคล้ายกับเครื่องถ้วยจีนในสมัยราชวงศ์หยวนอีกด้วยนอกจากนี้ภายในพื้นที่บริเวณวัดศรีสวายยังมีทับหลังสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์รวมถึงยังมีเทวรูปและศิวลึงค์อีกเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดเรียกได้ว่าสิ่งก่อสร้างที่อยู่ภายในวัดหรือแม้แต่พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดศรีสวายนั้น

เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความเก่าแก่โบราณและแต่ละอย่างนั้นก็มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกัน ดังนั้นที่นี่จึงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่เราสามารถศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนในสมัยโบราณหรือวัดในสมัยโบราณได้เป็นอย่างดี  นอกจากนี้แม้แต่ตัวกำแพงของวัดเองก็มีการสร้างขึ้นมาด้วยศิลาแลงซึ่งถือได้ว่าเป็นการก่อสร้างในช่วงยุคโบราณซึ่งถือได้ว่าที่นี่เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์และทางโบราณคดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

           นอกจากนี้ประวัติความเป็นมาของวัดศรีสวายนั้นว่ากันว่าในสมัยของรัชกาลที่ 5 พระองค์ก็เคยเสด็จมาที่บริเวณนี้โดยพระองค์เสด็จมาในช่วงประมาณปีพ.ศ 2451 ซึ่งในตอนนั้นพระองค์ทรงภพรูปพระสยมและพระศิวะซึ่งอยู่ภายในวิหารและหลักไม้ปักอยู่ในโบสถ์อีกด้วย  อย่างไรก็ตามภายในวัดศรีสวายนะไม่ได้มีพระพุทธรูปของศาสนาพุทธเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่นอยู่อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นศาสนาฮินดูซึ่งภายในวัดนั้นมีสระลอยบาปนอกจากนี้ยังมีศาสนาอื่นอีกเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดซึ่งถือได้ว่าที่นี่เป็นส่วนรวมของศาสนาต่างๆเลยก็ว่าได้   

 

สนับสนุนโดย.    ufabet