Eye Target Part 1 หนึ่งในเทคนิคถ่ายภาพ Portrait ให้ชัด

พวกเรานักถ่ายภาพ Portrait นั้น ต่างรู้กันดีอยู่แล้วล่ะว่า จุดไหนที่สำคัญที่สุดของภาพ Portrait คือการถ่ายภาพบุคคล เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เป็นบุคคลมากที่สุดนั้นคือ จิตวิญญาณในดวงตานั้นเอง

ผมเองนั้นเคยเป็นนักวาดรูป Portrait การวาดรูปนั้นสำคัญที่ดวงตาอย่างมาก ถ้าวาดดวงตาออกมาได้ไม่ดี จะทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของภาพได้เลย ดวงตาเป็นอะไรที่บ่งบอกอะไรหลายๆอย่างในตัวแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นลักษณ์นิสัย ความมั่นใจ อารมณ์ การสื่อสารอยากจะได้อะไรในตอนนั้น

อยู่ที่ดวงตาเป็นส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่แปลกทีจริงๆ การที่ดวงตาสำคัญขนาดนั้น การถ่าย Portrait ก็ควรจะต้องทำให้ดวงตานั้นชัดที่สุดในภาพ หรือจะพูดอีกอย่างคือ กล้องของเรานั้นจะต้องโฟกัสที่ดวงตายังไงล่ะ

การที่กล้องนั้นจะโฟกัสดวงตาได้ ผมขอแบ่งเป็นสามแบบละกันนะ เพราะว่าการใช้กล้องและอุปกรณ์ต่างๆของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกันมากนัก อย่างแรกเลยซึ่งเป็นสี่สะดวกสบายที่สุดในสามโลกแล้วล่ะ เรียกได้ว่าคนยุคนี้ที่เริ่มจะถ่ายภาพนั้น ได้รับเทคโนโลยีที่สุดยอดยิ่ง แบบว่าคนยุคก่อนหัวเสียกันเลยทีเดียวว่า พวกเอ็งจะสะดวกสบายเกินไปแล้ว นั้นก็เพราะเทคโนโลยีตัวนึง

ที่ถูกใส่ไว้ให้กับกล้องรุ่นใหม่ทุกตัวทุกแบรนด์เลยทีเดียว นั้นคือ EYE detection นั้นเอง เป็นฟังค์ชั่นที่เรียกได้ว่าตอบสนองได้ดีที่สุดแล้วในยุคนี้ เพราะคนเราก็ถ่ายรูปคนซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่ซื้อกล้องมาเก็บการท่องเที่ยวของตัวเอง ก็จะต้องถ่ายแฟนเป็นหลัก แล้วเจ้าฟังค์ชั่นนี้ก็จะต้องถูกใช้อย่างแน่นอน มันเป็นระบบโฟกัสแบบจับที่ตาเลยทันที ซึ่งก็จะต้องใช้ร่วมกับระบบ Focus Area ด้วย

ต้องเลือกให้เหมาะสมกันจะดีมากๆ ไม่ว่าคนเดินไปทางไหน ก็จะถูกจับที่ดวงตาไว้ตลอด ดังนั้นแล้วก็จะได้ดวงตาที่ชัดอย่างแน่นอน จากที่ผมเคยใช้ ก็มีหลุดบ้างนะ แบบว่ามันโฟกัสที่ตาแหละ แต่ถ่ายมามันก็มีแบบไม่ตาเปะบ้างก็มี อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความฉลาดของกล้องด้วย ส่วนตัวแล้วผมชอบมากๆ มันใช้ง่ายมากเลยทีเดียว ยิ่งถ้าอยู่ระดับครึ่งตัวขึ้นมาละก็ เรียกได้ว่าไม่มีพลาด แต่ก็จะมีเรื่องจุกจิกนิดหน่อย

ตรงที่เวลาตัวแบบหันไปหันมา โดยเฉพาะหันหลังหรือหมุนตัว ดวงตาที่กล้องจับไว้ให้ จะหลุดโฟกัส แล้วต้องหากันใหม่เมื่อตัวแบบหันกลับมา แต่ว่าถ้าตัวแบบหันหลังเลยล่ะก็ นั้นแหละผมเซ็งมากๆ ที่ Focus Area ที่ผมใช้นั้นไม่เหมาะกับการถ่ายที่ไม่มีตัวแบบ และต้องบอกว่าเป็นเพราะรุ่นของกล้องด้วย ถ้ารุ่นสูงกว่านี้ก็จะไม่มีปัญหานี้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เว็บบาคาร่าที่คนเล่นเยอะที่สุด

ไขควง 6 เหลี่ยม ของจำเป็นในกระเป๋ากล้อง

อุปกรณ์สำคัญอย่างเจ้าไขควงที่เราอาจจะไม่สนใจมัน จริงๆแล้วเจ้าตัวนี้คนคงจะงงกันว่ามันมีความจำเป็นอะไร มันจะไม่จำเป็นสำหรับคนที่พกแต่เพียงตัวกล้องเดี่ยวๆไป ไม่ได้พกขอตั้งกล้อง ก็คงไม่จำเป็นหรอกครับ

แต่ถ้าเป็นนักถ่ายภาพที่เน้นทางภาพที่ต้องการใช้ขาตั้งกล้อง ก็ต้องยอมในการพกเจ้าไขควงหกเหลี่ยมนี่ไปด้วยนะ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากเลยสำหรับขาตั้งกล้อง ในกรณีนี้เราจะไม่ถือว่าขาตั้งกล้องเป็นของที่ต้องอยู่กระเป๋ากล้องนะ เพราะส่วนมากแล้วจะเป็นการพกแยกไป มันใหญ่ ถ้าเอาใส่กระเป๋ากล้องได้จริงๆ กระเป๋านั้นต้องใหญ่มากๆเลย งั้นจะถือว่าไม่ใช่ละกัน แต่ในเมื่อมีการพกพาขาตั้งกล้องไปด้วยนะ ก็ต้องมีไขควงหกเหลี่ยมนี้ด้วย

ขาต้องกล้องนั้นเราใช้เพื่ออะไร ก็ใช้เพื่อตั้งกล้องไว้แทนแขนเราเอง ประโยชน์หลักๆเพื่อลดการสั่นจากแขนเราไปนั้นเอง ถ้าต้องถ่ายอะไรที่แสงน้อยหรือชัตเตอร์ช้าๆนั้นแอง แต่อย่างสายถ่ายน้ำตกนั้น เพื่อให้น้ำตกเป็นเส้น ต่อให้เป็นตอนเช้าก็ตามก็ต้องใช้เจ้าขาตั้งกล้องนี้เช่นกัน

อีกหนึ่งประโยชน์คือการตั้งถ่ายตัวเราเอง ที่ไม่มีคนคอยกดถ่ายให้จนต้องใช้รีโมท หรือการตั้งเวลา ก็จำเป็นอย่างยิ่ง จะมาใช้กล้องใหญ่แบบนี้ในการถ่ายเซลฟี่ก็ไม่ใช่ล่ะ เมื่อทราบถึงประโยชน์ของขาตั้งกล้องแล้ว ก็คงจะทราบได้ว่า มันห้ามมีอาการหลวมหรืออาการโยกเยกอะไรทั้งสิ้นไม่ใช่นั้น

มันก็จะไม่นิ่งอย่างเราต้องการ หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือการทำให้กล้องของเรานั้นตกลงพื้นจนเกิดความเสียหายนั้นเอง พูดถึงการทำกล้องตก เพียงแค่นี้ก็รู้สึกขนลุกเลย เพราะมันคงเป็นสิ่งร้ายแรงมากสำหรับคนมีกล้อง นั้นทำให้ขาตั้งกล้องนั้นต้องทำงานได้เต็มระบบโดยไม่มีความผิดปกติใดๆเด็ดขาด

เจ้าไขควงหกเหลี่ยมนี้จึงจำเป็นอย่างมากในการเอาไว้ซ่อมบำรุงขาตั้งกล้องของเรานั้นเอง เพราะขาตั้งกล้องที่มีมาตรฐานนั้น มักจะมีสกูลหัวหกเหลี่ยมที่เป็นเบอร์เดียวกันทั้งนั้น อย่างมากก็มีสองเบอร์ นั้นก็ต้องดูให้ดูว่าขาตั้งกล้องเราใช้แบบไหน เอาจริงๆแล้วนะ ตัวขาตั้งกล้องนั้น

ส่วนมากแล้วจะมีให้มาด้วยอยู่แล้ว โดยไม่ต้องไปหาซื้อ แต่ถ้าเกิดทำหายขึ้นมาก็สามารถไปซื้อได้ตามร้านขายเครื่องมือช่าง หรือร้าน DIY ทั่วๆไป B2S ก็มีเช่นกัน อันเล็กแค่นี้ไม่ต้องกลัวเปลืองเนื้อที่กระเป๋ากล้องหรอกนะ

 

 

สนับสนุนโดย  บาคาร่า sa gaming

ใครอยากมีความฝัน…ต้องนอน

เด็กสมัยใหม่อยากเป็นคนมีฝัน ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะต้องไปตะกายหาฝันที่ไหน เพียงแค่คุณนอน เฝ้ารอความฝันจะปรากฏขึ้นมาเอง แล้วเมื่อถึงเวลาตื่นนอน คุณอาจจะดื่มด่ำไปกับฝันดีหรือกังวลไปกับฝันร้าย ไหนลองมาดูกันสิว่า “ความฝันมันเกิดขึ้นได้อย่างไรและมันบอกอะไรเราได้”

นักวิทยาศาสตร์หลากหลายสำนักได้มีการหาว่า ความฝันเกิดขึ้นได้อย่างไร จนเกิดเป็นหลายทฤษฎี มีการค้นพบ ความฝันมักจะเกิดในช่วงที่เราหลับแบบที่ยังมีการเคลื่อนไหวดวงตาอย่างรวดเร็ว

ซึ่งช่วงนี้เป็นเวลาที่สมองแอคทีฟมากที่สุด โดยพบว่า ความฝันจะสอดคล้องและเชื่อมโยงไปกับความคิด อารมณ์ สิ่งที่เคยประสบพบเจอ สารเคมีในสมองจะนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้มาผสมกันจนกลายเป็นเรื่องใหม่ที่คุณไม่เคยเจอมาก่อน หรืออาจเป็นเรื่องเดิมที่คุณเคยพบมาล้ว 

เมื่อคุณฝันร้าย มันกำลังแอบบอกอะไรคุณอยู่

ฝันร้าย…ฝันว่า เจอผี มีคนมาเอาชีวิต มีคนวางยาพิษหรืออาจจะเป็นเรื่องราวที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับคนรอบข้าง ซึ่งฝันในแบบนี้จะแสดงออกมาในด้านลบ ฝันร้ายจะสะท้อนถึงอารมณ์หรือความเครียดรวมไปถึงความกังวลที่เกิดขึ้นในชีวิตในช่วงขณะนั้น บางทีก็สัมพันธ์กับโรคทางจิตเช่นภาวะซึมเศร้า เป็นต้น เคยไหมที่ บางครั้งเมื่อเราฝันร้ายแบบหนักจริงๆก็อาจจะตะโกน ร้องไห้จนทำให้ตื่นจากความฝันนั้นเลยก็เป็นได้ 

อยากเก็บฝันดีเอาไว้ตราบนานเท่านานต้องทำอย่างไร

ฝันดี ใครๆก็อยากมี เคยไหมที่เรากำลังฝันหวาน ฝันถึงใครสักคนที่เราคิดถึง หรือกำลังฝันถึงช่วงวันเวลาที่เราจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตนเองวางไว้ แต่พอตื่นมาได้สักพักก็ดันลืมความฝันอันน่าจดจำเหล่านั้นไปจนหมด เคล็ดลับที่อยากจะจดจำความฝันนั่นไว้คือ เมื่อตื่นลืมตาขึ้นมา

พยายามนั่งนึกถึงเรื่องราวความฝันที่เกิดขึ้นและจดใส่สมุดไดอารีเพราะบันทึกเหล่านี้จะไม่มีวันลบเลือนหายไป อยากซึมซับความฝันนี้อีกทีก็เพียงแค่นำไดอารีมาเปิดอ่านก็สร้างความสุขได้อีกแบบ 

ความฝันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝันดีหรือฝันร้าย ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหัวสมองเราเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้น ความฝันนั้นอาจจะสร้างความสุขให้คุณก็พยายามเก็บไว้ในความทรงจำ แต่ถ้าฝันนั้นทำให้คุณกังวลจนปวดใจก็ปล่อยให้มันหายไปตามกาลเวลาเพราะเมื่อคุณตื่น ฝันร้ายต่างๆก็จะหายไปในไม่กี่นาที 

 

สนับสนุนโดย  สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ

บุหรี่ไฟฟ้าไม่ดีต่อเยาวชนจริงหรอ จึงแบนไปแบบนี้

บอกเลยนะว่าเป็นอีกเรื่องที่งี่เง่าจริงๆ สำหรับความคิดคนในประเทศไทยเราแบบนี้ เห็นเหล่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นพวกหน้าใหม่ แล้วก็ยังเป็นกลุ่มน้อยจึงใช้วิธีของการใช้คะแนนเสียงเอาชนะแบบนี้มันทุเรสจริงๆเลยนะ บุหรี่ไฟฟ้านั้นเกิดมาเพื่ออะไร

จุดประสงค์มันเป็นจุดประสงค์ที่ดีชัดๆ แต่กลับไม่มองมันอีกเลยแล้วก็โจมตีว่าไม่ดีต่อร่างกาย พอเรื่องนี้เริ่มแดงขึ้นมาแล้วได้ข้อสรุปเพียงแค่ว่า ไม่มีสารหลายตัวที่บุหรี่มวนให้ร่างกาย แล้วก็เหลือสารที่อ้างว่ายังไม่รู้ถึงผลลัพท์ จบเพียงแค่นี้ จบเพียงแค่การรอให้สารพวกนี้ทำพิษกับคน

พอเรื่องนี้เริ่มน่าเบื่อ ก็เลยไปพูดถึงประเด็นใหม่ นั้นคือ บุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่เป็นผลดีกับเหล่าเยาวชน ซะงั้น นี่เอาจริงหรอเนี่ย นี่กล้าเอาประเด็นนี้มาพูดจริงๆหรอ พระเจ้าช่วย ช่างหน้าตกใจ

เรามาเจาะทีละประเด็นกันเลยดีกว่า ประเด็นแรก ประเด็นของราคา คิดว่าราคาแบบไหนที่จะเสี่ยงกับเยาวชนมากกว่า บุหรี่ไฟฟ้ามันถูกนักหรอ มันแพงกว่าบุหรี่มวนแน่ๆละ บุหรี่มวนนี่มีตั้งแต่ขายเป็นซองยันแบบแยกขายด้วยซ้ำไป ซึ่งง่ายกว่ามาก ต่อมาเรื่องการหาซื้อ โถ่ พ่อคุณ

บุหรี่มวนมีขายทุกที่ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านโชว์ห่วย ร้านเหล้า ผับ บาร์ ทุกที่หาได้ แล้วคิดว่ามันจะมีภัยต่อเยาวชนมากกว่าไหม ต่อมาเรื่องของความอันตราย เอาแต่อ้างว่า บุหรี่ไฟฟ้า ยังไม่สามารถพิสูจน์ ได้หมด แต่จริงๆแล้วอะไรคือเรื่องจริง เรื่องจริงคือมันไม่มีสารอันตรายที่มีในบุหรี่มวน กว่าร้อยชนิด แค่นี้ยังไม่พอเป็นข้อเท็จจริงที่ควรยกมาคุยกันจริงๆหรอ เอาเป็นว่า มือถือสากปากถือศิลกับแบบสุดๆประเทศไทยเรา

การที่บอกไม่มีว่าไม่มีสารอันตรายแล้ว ไม่สนใจ สนใจสารที่มีแต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าอันตรายไหม แล้วก็บอกว่ากลับไปสูบบุหรี่มวนเถอะที่เรารู้แล้วว่ามันอันตรายขนาดไหน จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับสิ่งที่ไม่รู้ ฟังดูแล้วเป็นไง ฮ่าๆ งี่เง่าพอตัวเลยทีเดียว

เหมือนกับว่าพยายามลบสิ่งที่จะมาใหม่ รณรงค์ของเก่า ไม่สนใจเรื่องเหตุผลจริงๆของมัน สนใจแต่เรื่องของธุรกิจ เยี่ยมยอด ดังนั้นแล้ว โทษใครได้ล่ะ ในเมื่อเยาวชนเราที่มีสมองคิดเป็น ศึกษาแล้วก็ตัดสินใจสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน กลายเป็นคนทำผิดกฏหมายไปเสียแล้ว เอางี้ละกัน เมื่อไหร่ที่ถูกกฏหมาย คงจะนั่งนึกย้อนกลับมาเองแหละ ว่าก่อนหน้านี้เสียเวลาเพื่ออะไร แต่ดูๆแล้วท่าทางจะไม่มีวันนั้นนะ