ตำนานซินเดอเรลล่า

     ตำนานซินเดอเรลล่า   สำหรับเรื่องของซินเดอเรลล่านั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือนิทานที่ถูกแต่งขึ้นมาแต่เนื่องจากว่านิทานเรื่องนี้มีการแต่งขึ้นมาเป็นระยะเวลานานจนกลายมาเป็นตำนานของนิทานนั่นเองซึ่งในเรื่องของซินเดอเรลล่านั้นเกิดขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีฐานะร่ำรวยอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาแต่อยู่ๆวันหนึ่งแม่ที่เป็นที่รักก็เสียชีวิตไปทำให้สาวน้อยต้องอยู่กับพ่อเพียงลำพัง

      หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็มีภรรยาใหม่ซึ่งภรรยาใหม่ของพ่อนั้นมีลูกติดมาด้วย 2 คนเป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่และเนื่องจากว่าพ่อของซินเดอเรลล่านั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านเพราะต้องออกไปค้าขายนอกเมืองทำให้ซินเดอเรลล่า นั้นต้องอยู่กับแม่เลี้ยงและพี่เลี้ยงทั้ง 2 คน   แน่นอนว่าทั้งแม่เลี้ยงและพี่เลี้ยงทั้งสองคนต่างก็พากันแกล้งซินเดอเรลล่าและใช้งานอยู่เสมอ

       อยู่มาวันหนึ่งกษัตริย์ที่ครองเมืองที่ครอบครัวของซินเดอเรลล่าอาศัยอยู่ได้มีการจัดงานเลี้ยงขึ้นเพราะอยากจะให้เจ้าชายนั้นได้ดูตัวสาวๆในเมืองเพื่อมาอภิเษกสมรสดังนั้นจึงได้มีการประกาศเชิญชวนให้หญิงสาวทุกคนที่ยังไม่แต่งงานไปร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้แน่นอนว่าพี่สาวทั้งสองคนของซินเดอเรลล่านั้นต่างก็พากันแต่งตัวอย่างสวยงามไปร่วมงานแต่ตัวซินเดอเรลล่าเองนั้นถูกแม่เลี้ยงกีดกันไม่ให้ไปอีกทั้งนางซินเดอเรลล่านั้นก็ไม่มีชุดที่จะใส่ไปงานเลี้ยงอีกด้วย 

      ซึ่งตามตำนานระบุว่าด้วยความดีของซินเดอเรลล่าทำให้นางฟ้าใจดีลงมาช่วยเหลือเสกชุดสวยงามให้และเสกรถม้าให้ศิลปะสามารถไปงานเลี้ยงได้ทันและเมื่อไปถึงงานเลี้ยงเจ้าชายก็เห็นความงามของซินเดอเรลล่าดังนั้นคืนนั้นทั้งคืนจึงได้มีการเต้นรำกับเธอรักเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่การเดินทางไปงานเลี้ยงในครั้งนี้นางฟ้าได้มีการตั้งเงื่อนไขกับ ซินเดอเรลล่าไว้ว่าเธอจะต้องกลับมาให้ทันก่อนเที่ยงคืนหากไม่เช่นนั้นแล้วมนตราที่เคยเสกให้ก็จะสลายหายไปทันที 

        ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนซินเดอเรลล่าจึงได้วิ่งหนีออกจากพระราชวังและทิ้งรองเท้าแก้วเอาไว้ให้ดูต่างหน้า 1 ข้างหลังจากนั้นเจ้าชายจึงให้ทหารออกตามหาจนในที่สุดก็มาพบซินเดอเรลล่าอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงและพี่เลี้ยงนั่นเองและสุดท้ายแล้วเจ้าชายก็ขอ ซินเดอเรลล่าแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  

         ซึ่งนี่ก็คือนิทานที่เป็นตำนานที่พ่อแม่มักจะเล่าให้ลูกฟังก่อนนอนเป็นประจำทุกค่ำคืนและถึงแม้ว่านิทานเรื่องนี้จะมีการผ่านมานานหลายสิบปีแล้วแต่ทุกวันนี้เด็กๆก็ยังคงชื่นชอบนิทานเรื่อง Cinderella กันอยู่ 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    www.ufabet.com ช่องทางเข้าเว็ปพนัน

ประวัติวอลเลย์บอลในประเทศไทย 

        ประวัติวอลเลย์บอล สำหรับกีฬาวอลเลย์บอลนั้นเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ประเทศไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียวปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีนักกีฬาวอลเลย์บอลที่ส่งไปแข่งขันกับต่างประเทศเนื่องจากว่ากีฬาวอลเลย์บอลนั้นถูกบรรจุให้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่จะมีการแข่งขันในซีเกมส์และในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกซึ่งมีหลายประเทศมาร่วมการแข่งขัน

        กีฬาวอลเลย์บอลนั้นจะต้องมีผู้เล่นอยู่ทั้งหมด 2 ฝ่ายด้วยกัน

ซึ่งทั้งสองฝ่ายนั้นจะต้องมีสมาชิกในการเล่นไม่เกิน 12 คนด้วยกันและจะมีผู้ฝึกสอน 1 คนแต่เวลาที่จะให้นักกีฬาลงเล่นนั้นจะให้ลงเล่นได้เพียงแค่ครั้งละไม่เกิน 6 คนเพียงเท่านั้นโดยการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลนั้นจะต้องมีสนาม

       ซึ่งสนามนั้นสามารถที่จะเป็นสนามบินหรือจะเป็นสนามปูนก็ได้โดยลักษณะของสนามนั้นจะต้องเป็นพื้นเรียบไม่มีสิ่งกีดขวางและตัวสนามจะต้องเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยมีตาข่ายกั้นกลางเป็นตัวแบ่งเขตนอกจากนี้จะมีเส้นรอบสนามซึ่งจะถูกกำหนดเอาไว้ถ้าหากผู้เล่นคนไหนทำลูกบอลออกนอกสนามก็จะถือว่าฟาวน์ทันที

     อย่างไรก็ตามในการเล่นนอกจากจะมีการเตรียมสนามแล้วอุปกรณ์ที่จะใช้ในการเล่นวอลเลย์บอลนั้นก็คือลูกบอลนั่นเองโดยจะเป็นลูกวอลเลย์บอลโดยเฉพาะซึ่งลูกวอลเลย์บอลนั้นจะทำมาจากหนังสังเคราะห์ทำให้เวลาที่มือไปสัมผัสลูกวอลเลย์บอลนั้นไม่รู้สึกถึงความแข็งมากจนเกินไปและลูกสามารถยืดหยุ่นกระเด้งได้

         เมื่อมีการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลจะมีการกำหนดการแข่งขันครั้งละไม่เกิน 30 นาที

ซึ่งการแข่งขัน 1 ครั้งที่มีการคิดการแพ้ชนะกันนั้นจะต้องมีการชนะ 2 ใน 3 เซตสำหรับประเทศไทยนั้นไม่ได้มีการระบุออกมาว่ากีฬาวอลเลย์บอลเข้ามาสู่ประเทศไทยครั้งแรกในช่วง ปีไหน แต่กีฬาชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากประเทศไทย แต่มีการนำมาจากต่างประเทศ 

        ซึ่งในช่วงแรกนั้นจะเห็นว่ากลุ่มคนที่เล่นกีฬาชนิดนี้นั้น จะเป็นคน ญวณกับคนจีน ซะส่วนใหญ่  หลังจากนั้นก็ได้รับความสนใจจากคนไทย และเริ่มมีการเล่นกันมากขึ้น ในตอนแรกนั้น จะมีการจัดการแข่งขันกันเฉพาะกลุ่มคนในชุมชน หรือในสโมสร  รวมถึงสมาคมเพียงเท่านั้น ต่อมาการแข่งขันก็มีการขยายมากขึ้น โดยมีการขยายไปภาคอื่นอื่นของประเทศ จนในปัจจุบันทุกภาคของประเทศไทยก็เล่นกีฬาชนิดนี้กัน 

          ซึ่งกีฬาวอลเล่ย์บอล ถูกจัดให้เป็นกีฬาที่นำมาสอนในโรงเรียนให้กับเด็กนักเรียน

โดยถูกบรรจุให้สอนเกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้ครั้งแรก ประมาณ ปี พ.ศ. 2477  ซึ่งในครั้งแรกนั้นได้มีการจัดทำเป็นหนังสือเพื่อทำการสอนเกี่ยวกับกฎกติกาเงื่อนไขการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลและมีการไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆสำหรับคนที่สนใจเกี่ยวกับกีฬาวอลเลย์บอลนอกจากนี้ยังถูกบรรจุในกรมพลศึกษาให้มีการสอนวิชากีฬาวอลเลย์บอลให้กับเด็กนักเรียนอีกด้วยซึ่งปัจจุบันกีฬาชนิดนี้ก็ยังเป็นกีฬาที่ต้องถูกบรรจุให้สอนให้กับเด็กนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ufabet ฝาก-ถอน เอง

คนกรุงเทพเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?

ที่มาของคนกรุงเทพ โดยคนอยุธยาในยุคนั้นจะเรียกคนพื้นเองดั่งเดิมเหล่านี้ว่าแขกขอมลาวพม่ามอญคือจะมีชื่อยาวไปไหนพวกเขาจะเรียกกันรวมๆว่าเป็นชาวสยามแต่คำว่าแขกขอมลาวพม่ามอญอะไรพวกนี้มันจะไม่เหมือนกับที่เราเข้าใจกันในปัจจุบันนี้

ซึ่งเราจะมาเริ่มจากคำว่า แขก กันก่อน แขก ในสมัยนั้นเขาไม่ได้ใช้เอาไว้เรียกเพียงแค่คนอาหรับหรือว่าคนอินเดียเท่านั้นยังรวมไปถึงชาวมาเลชาวมลายูอีกด้วยโดยเขาจะใช้คำจำกัดความว่าจะเป็นกลุ่มชาติที่มาจากชาติที่นับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูบวกกับอิสลาม

สำหรับคำว่า ขอม มันก็จะเป็นคำที่เอาไว้ใช้เรียกกันรวมๆ

ที่มาของคนกรุงเทพ ที่หมายถึงชาติพันธุ์อะไรก็ได้ที่ได้นับถือพราหมณ์ฮินดูแต่ว่าบวกกับศาสนาพุทธนิกายมหายานโดยคำว่า ขอม แต่ก่อนมักจะใช้เรียกคนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาต่อมาเลยมีการใช้เรียกพวกเขมรลาว

เนื่องจากนี้ลาวก็จะแบ่งได้ย่อยๆอีกสองพวกก็คือล้านนาโยนกที่ได้มีเมืองเชียงใหม่เป็นจุดศูนย์กลางพวกหนึ่งกับพวกทางตะวันออกเฉียงเหนือจากสองฝากฝั่งแม่น้ำโขงนั่นก็คือชาวลาวในปัจจุบันแล้วก็ชาวอีสานนั่นเอง มอญ หมายถึงพวกลามันจากเมืองหงสาวดี

ในขณะที่พม่าก็จะใช้เรียกคนตระกลูธิเบตหรือว่าจีนธิเบต

ที่มีชื่อเก่าว่าผยู โดยพวก จีน ง่ายๆเลยก็คือคนที่มาจากเมืองจีนนั่นแหละส่วนใหญ่แล้วจะใช้เรียกคนที่มาจากเมืองจีนทางตอนใต้เช่นเดียวกับชาวชวาที่ได้มาจากเกาะชวาในอินโดนีเซียและสุดท้ายแล้วมันก็น่าจะเป็นชื่อที่ไม่น่าคุ้นหูที่สุดคือพวกชาวจามได้เป็นคนพวกตระกลูมาเลจามที่อาศัยอยู่ในแทบเวียดนามเขมร

นอกจากนี้ตั้งแต่เดิมได้นับถือศาสนาพุทธก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามคนพวกนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ชำนานในการดำเนินเรือเรียบชายฝั่งทางทะเลก่อนชาติพันธุ์อื่นเลยเป็นยังไงกันบ้างคุณอาจจะคิดว่ามันไม่ตรงกับที่เข้าในกันในปัจจุบันนี้กันเลยใช่ไหม

สุดท้ายก็คือพวกคนนานาประเทศอันนี้เรียกง่ายๆเลยก็คือคนที่มาจากดินแดนห่างไกลแล้วก็มาปักหลักที่ประเทศไทยโดยสามารถตีความได้ตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นจนถึงชาวยุโรปโดยคนพวกนี้จะต่างจากข้อที่แล้วก็คือจะไม่มีอะไรคล้ายๆใครเลยอย่างเช่นวัฒนธรรมที่คล้ายๆกันเหมือนกับไทยลาวที่พอจะคุยกันรู้เรื่องบ้างหรือว่ากับเขมรที่เราพอจะมีประเพณีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่

ดังนั้นคนพงกนี้จะเป็นคนที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลยจากที่เราได้เล่ามาก็พอจะสรุปได้ก็คือจริงๆแล้วคนกรุงเทพอาจจะไม่มีที่มาจากกรุงเทพโดยแท้ทั้งหมดแต่ก็เป็นการผสมผสานปนกันจากหลายๆที่ที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานกันตั้งแต่กรุงธนบุรี

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    Ufabet เข้าสู่ระบบ