ประวัติวอลเลย์บอลในประเทศไทย 

        ประวัติวอลเลย์บอล สำหรับกีฬาวอลเลย์บอลนั้นเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ประเทศไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียวปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีนักกีฬาวอลเลย์บอลที่ส่งไปแข่งขันกับต่างประเทศเนื่องจากว่ากีฬาวอลเลย์บอลนั้นถูกบรรจุให้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่จะมีการแข่งขันในซีเกมส์และในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกซึ่งมีหลายประเทศมาร่วมการแข่งขัน

        กีฬาวอลเลย์บอลนั้นจะต้องมีผู้เล่นอยู่ทั้งหมด 2 ฝ่ายด้วยกัน

ซึ่งทั้งสองฝ่ายนั้นจะต้องมีสมาชิกในการเล่นไม่เกิน 12 คนด้วยกันและจะมีผู้ฝึกสอน 1 คนแต่เวลาที่จะให้นักกีฬาลงเล่นนั้นจะให้ลงเล่นได้เพียงแค่ครั้งละไม่เกิน 6 คนเพียงเท่านั้นโดยการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลนั้นจะต้องมีสนาม

       ซึ่งสนามนั้นสามารถที่จะเป็นสนามบินหรือจะเป็นสนามปูนก็ได้โดยลักษณะของสนามนั้นจะต้องเป็นพื้นเรียบไม่มีสิ่งกีดขวางและตัวสนามจะต้องเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยมีตาข่ายกั้นกลางเป็นตัวแบ่งเขตนอกจากนี้จะมีเส้นรอบสนามซึ่งจะถูกกำหนดเอาไว้ถ้าหากผู้เล่นคนไหนทำลูกบอลออกนอกสนามก็จะถือว่าฟาวน์ทันที

     อย่างไรก็ตามในการเล่นนอกจากจะมีการเตรียมสนามแล้วอุปกรณ์ที่จะใช้ในการเล่นวอลเลย์บอลนั้นก็คือลูกบอลนั่นเองโดยจะเป็นลูกวอลเลย์บอลโดยเฉพาะซึ่งลูกวอลเลย์บอลนั้นจะทำมาจากหนังสังเคราะห์ทำให้เวลาที่มือไปสัมผัสลูกวอลเลย์บอลนั้นไม่รู้สึกถึงความแข็งมากจนเกินไปและลูกสามารถยืดหยุ่นกระเด้งได้

         เมื่อมีการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลจะมีการกำหนดการแข่งขันครั้งละไม่เกิน 30 นาที

ซึ่งการแข่งขัน 1 ครั้งที่มีการคิดการแพ้ชนะกันนั้นจะต้องมีการชนะ 2 ใน 3 เซตสำหรับประเทศไทยนั้นไม่ได้มีการระบุออกมาว่ากีฬาวอลเลย์บอลเข้ามาสู่ประเทศไทยครั้งแรกในช่วง ปีไหน แต่กีฬาชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากประเทศไทย แต่มีการนำมาจากต่างประเทศ 

        ซึ่งในช่วงแรกนั้นจะเห็นว่ากลุ่มคนที่เล่นกีฬาชนิดนี้นั้น จะเป็นคน ญวณกับคนจีน ซะส่วนใหญ่  หลังจากนั้นก็ได้รับความสนใจจากคนไทย และเริ่มมีการเล่นกันมากขึ้น ในตอนแรกนั้น จะมีการจัดการแข่งขันกันเฉพาะกลุ่มคนในชุมชน หรือในสโมสร  รวมถึงสมาคมเพียงเท่านั้น ต่อมาการแข่งขันก็มีการขยายมากขึ้น โดยมีการขยายไปภาคอื่นอื่นของประเทศ จนในปัจจุบันทุกภาคของประเทศไทยก็เล่นกีฬาชนิดนี้กัน 

          ซึ่งกีฬาวอลเล่ย์บอล ถูกจัดให้เป็นกีฬาที่นำมาสอนในโรงเรียนให้กับเด็กนักเรียน

โดยถูกบรรจุให้สอนเกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้ครั้งแรก ประมาณ ปี พ.ศ. 2477  ซึ่งในครั้งแรกนั้นได้มีการจัดทำเป็นหนังสือเพื่อทำการสอนเกี่ยวกับกฎกติกาเงื่อนไขการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลและมีการไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆสำหรับคนที่สนใจเกี่ยวกับกีฬาวอลเลย์บอลนอกจากนี้ยังถูกบรรจุในกรมพลศึกษาให้มีการสอนวิชากีฬาวอลเลย์บอลให้กับเด็กนักเรียนอีกด้วยซึ่งปัจจุบันกีฬาชนิดนี้ก็ยังเป็นกีฬาที่ต้องถูกบรรจุให้สอนให้กับเด็กนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ufabet ฝาก-ถอน เอง

คนกรุงเทพเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?

ที่มาของคนกรุงเทพ โดยคนอยุธยาในยุคนั้นจะเรียกคนพื้นเองดั่งเดิมเหล่านี้ว่าแขกขอมลาวพม่ามอญคือจะมีชื่อยาวไปไหนพวกเขาจะเรียกกันรวมๆว่าเป็นชาวสยามแต่คำว่าแขกขอมลาวพม่ามอญอะไรพวกนี้มันจะไม่เหมือนกับที่เราเข้าใจกันในปัจจุบันนี้

ซึ่งเราจะมาเริ่มจากคำว่า แขก กันก่อน แขก ในสมัยนั้นเขาไม่ได้ใช้เอาไว้เรียกเพียงแค่คนอาหรับหรือว่าคนอินเดียเท่านั้นยังรวมไปถึงชาวมาเลชาวมลายูอีกด้วยโดยเขาจะใช้คำจำกัดความว่าจะเป็นกลุ่มชาติที่มาจากชาติที่นับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูบวกกับอิสลาม

สำหรับคำว่า ขอม มันก็จะเป็นคำที่เอาไว้ใช้เรียกกันรวมๆ

ที่มาของคนกรุงเทพ ที่หมายถึงชาติพันธุ์อะไรก็ได้ที่ได้นับถือพราหมณ์ฮินดูแต่ว่าบวกกับศาสนาพุทธนิกายมหายานโดยคำว่า ขอม แต่ก่อนมักจะใช้เรียกคนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาต่อมาเลยมีการใช้เรียกพวกเขมรลาว

เนื่องจากนี้ลาวก็จะแบ่งได้ย่อยๆอีกสองพวกก็คือล้านนาโยนกที่ได้มีเมืองเชียงใหม่เป็นจุดศูนย์กลางพวกหนึ่งกับพวกทางตะวันออกเฉียงเหนือจากสองฝากฝั่งแม่น้ำโขงนั่นก็คือชาวลาวในปัจจุบันแล้วก็ชาวอีสานนั่นเอง มอญ หมายถึงพวกลามันจากเมืองหงสาวดี

ในขณะที่พม่าก็จะใช้เรียกคนตระกลูธิเบตหรือว่าจีนธิเบต

ที่มีชื่อเก่าว่าผยู โดยพวก จีน ง่ายๆเลยก็คือคนที่มาจากเมืองจีนนั่นแหละส่วนใหญ่แล้วจะใช้เรียกคนที่มาจากเมืองจีนทางตอนใต้เช่นเดียวกับชาวชวาที่ได้มาจากเกาะชวาในอินโดนีเซียและสุดท้ายแล้วมันก็น่าจะเป็นชื่อที่ไม่น่าคุ้นหูที่สุดคือพวกชาวจามได้เป็นคนพวกตระกลูมาเลจามที่อาศัยอยู่ในแทบเวียดนามเขมร

นอกจากนี้ตั้งแต่เดิมได้นับถือศาสนาพุทธก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามคนพวกนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ชำนานในการดำเนินเรือเรียบชายฝั่งทางทะเลก่อนชาติพันธุ์อื่นเลยเป็นยังไงกันบ้างคุณอาจจะคิดว่ามันไม่ตรงกับที่เข้าในกันในปัจจุบันนี้กันเลยใช่ไหม

สุดท้ายก็คือพวกคนนานาประเทศอันนี้เรียกง่ายๆเลยก็คือคนที่มาจากดินแดนห่างไกลแล้วก็มาปักหลักที่ประเทศไทยโดยสามารถตีความได้ตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นจนถึงชาวยุโรปโดยคนพวกนี้จะต่างจากข้อที่แล้วก็คือจะไม่มีอะไรคล้ายๆใครเลยอย่างเช่นวัฒนธรรมที่คล้ายๆกันเหมือนกับไทยลาวที่พอจะคุยกันรู้เรื่องบ้างหรือว่ากับเขมรที่เราพอจะมีประเพณีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่

ดังนั้นคนพงกนี้จะเป็นคนที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลยจากที่เราได้เล่ามาก็พอจะสรุปได้ก็คือจริงๆแล้วคนกรุงเทพอาจจะไม่มีที่มาจากกรุงเทพโดยแท้ทั้งหมดแต่ก็เป็นการผสมผสานปนกันจากหลายๆที่ที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานกันตั้งแต่กรุงธนบุรี

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    Ufabet เข้าสู่ระบบ

ประวัติไซอิ๋ว เรื่องราวเกี่ยวกับไซอิ๋วที่คุณยังไม่รู้

    ประวัติไซอิ๋ว หรือที่ผู้คนมักจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเห้งเจีย และบางคนก็เรียกว่าซุนหงอคง  ถึงแม้ว่าเราจะเรียกชื่อว่าอะไรแท้ที่จริงแล้วทั้ง 3 ชื่อนี้ก็คือตัวละครตัวเดียวกันนั่นเอง  โดยตามตำนานมีการกล่าวเอาไว้ว่าตัวละครตัวนี้คือลิงที่เกิดมานานหลายพันปีแล้วด้วยแหล่งกำเนิดของลิงตัวนี้เกิดขึ้นบนยอดภูเขา

และมีชาติกำเนิดมาจากหินมีการบำเพ็ญตบะอย่างยาวนานและแกร่งกล้าจนทำให้กลายมาเป็นลิงที่มีอิทธิฤทธิ์มีอาวุธวิเศษที่สำคัญอาวุธของลิงหงอคงนี้ก็คือกระบองวิเศษซึ่งกระบองชนิดนี้สามารถที่จะยืดได้หดได้และที่สำคัญหงอคงมีพาหนะในการใช้ในการเดินทางก็คือก้อนเมฆ  

          ว่ากันว่าหงอคงเห็นว่าตนเองนั้นมีอิทธิฤทธิ์เก่งกาจมากมายและไม่มีใครสามารถที่จะสู้ตนเองได้จึงกลายเป็นลิงที่มีนิสัยเกเรชอบรังแกบุคคลอื่นไปทั่ว  ประวัติไซอิ๋ว ทางด้านนี้เซียนฮ่องเต้จึงได้หางานให้หงอคงทำเพราะจะได้ไม่ไปยุ่งไปก่อกวนคนอื่น  โดยครั้งแรกนั้นสั่งให้หงอคงไปเฝ้าม้าบนสวรรค์แต่หงอคงไม่พอใจที่เห็นว่างานที่ตัวเองทำนั้นเป็นงานที่ต่ำต้อยจึงได้อาระวาดและฆ่าหมาตายหมด

        และหงอคงยังมีเวลากันอื่นๆอีกมากมายที่สร้างความปั่นป่วนให้บนสวรรค์  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่ เง็กเซียน ฮ่องเต้ให้ไปเฝ้าสวนผลไม้สวรรค์แต่งหงอคงก็ไปกินผลไม้บนสรวงสวรรค์จนหมด ซึ่งไม่ว่าเซียนฮ่องเต้จะให้หมอคงไปทำอะไรหงอคงก็จะสร้างความวุ่นวายจนในที่สุดในเซียนฮ่องเต้

จึงได้มีการ ไปขอร้องให้พระพุทธเจ้าช่วยทำการกำราบหงอคงให้ด้วยซึ่งในที่สุดหงอคงก็พ่ายแพ้ให้กับพระพุทธเจ้าและต้องไปเฝ้าภูเขาไฟ หลังจากนั้นเมื่อถึงระยะเวลา 500 ปีพระพุทธเจ้าก็บอกกับหงอคงว่าถ้าหากหงอคงต้องการที่จะหลุดพ้นจากการเฝ้าภูเขาไฟหงอคงจะต้องมีการไปคอยอารักขาพระสงฆ์องค์หนึ่งซึ่งจะเดินผ่านภูเขาไฟแห่งนี้เพื่อไปยังชมพูทวีป ซึ่งพระสงฆ์องค์นั้นก็คือพระถังซัมจั๋งนั่นเอง 

        โดยถ้าหากหงอคงสามารถอารักขาพระถังซัมจั๋งจนสามารถบรรลุการเดินทางไปถึงที่หมายได้คงก็จะหลุดพ้นจากความผิดและไม่ต้องมาเฝ้าภูเขาไฟอีกหลังจากนั้นหมอคงจึงได้มีการติดตามพระถังซัมจั๋งเพื่อรักขาจนในที่สุดพระถังซัมจั๋งก็สามารถไปยังชมพูทวีปเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้ และด้วยคุณความดีนี้เองในท้ายที่สุดแล้วหงอคงก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นเทพเซียน  และคอยมีหน้าที่เฝ้าตรงประตูบริเวณด่านสวรรค์  จนกลายมาเป็นที่เคารพนับถือของคนจีนจนถึงปัจจุบัน

 

สนับสนุนโดย.  ufabet ฝากถอน ไม่มีขั้นต่ำ ออโต้

วังนาคินแห่งเกาะคำชะโนด มีอยู่จริงหรือไม่?

หากเราพูดถึงตำนานต่างๆเกี่ยวกับพญานาคในประเทศไทยเราเชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะเคยได้ยินกันมาจากต่างที่ต่างแดนและหลากหลายพื้นที่  วังนาคินแห่งเกาะคำชะโนด ไม่ว่าจะเป็นทั้งตำนานพญานาคแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตำนานพญานาคลุ่มแม่น้ำแม่น้ำน่านตำนานลุ่มแม่น้ำมูลหรือแม้แต่ตำนานพญานาคลุ่มแม่น้ำโขง

โดยแต่ละที่นั้นมันก็จะมีที่มาที่แตกต่างกันออกไปแต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันหมดเลยแต่เขาอยากจะบอกว่ามันยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่โด่งดังมากที่สุดในประเทศไทยแล้วคนเชื่อกันว่าสถานที่แห่งนี้มีพญานาคอยู่จรงๆและเคยมีคนพบเจอเคยถ่ายคลิปเอาไว้ได้

ซึ่งยังมีคนเชื่อกันอีกว่าสถานที่แห่งนี้คือที่พักพิงของพญานาคโดยมีเมืองใต้บาดารอยู่ใต้ของสถานที่แห่งนี้ด้วยโดยสถานที่แห่งนี้ที่เรากำลังจะพูดถึงนั่นก็คือป่าคำชะโนดนั่นเอง

ถ้าเอาตามข้อมูลแล้วที่ป่าคำชะโนดจัดตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านดุงจังหวัดอุดรธานีโดยป่าแห่งนี้จะมีลักษณะคล้ายกับเกาะลอยน้ำที่เต็มไปด้วยต้นคำชะโนดที่ได้ขึ้นเรียงยาวเป็นร้อยเมตรแต่ละต้นนั้นมีความสูงมาบางต้นสูงถึง5-6เมตรเลยก็ได้

วังนาคินแห่งเกาะคำชะโนด นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือยังมีเรื่องลี้ลับเยอะแยะมากมายที่เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้อีกไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของเกาะแห่งนี้ที่ลอยน้ำและไม่มีวันจมไม่ว่าจะเป้นทั้งฤดูที่น้ำขึ้นหรือน้ำลงต่อให้น้ำมากแค่ไหนยังไงเกาะแห่งนี้ก็ไม่มีทางที่จะจมอย่างแน่นอน

หรือแม้แต่ที่เกาะแห่งนี้ที่ไม่จมไม่เท่าไหร่แต่ยังมีเรื่องน้ำท่วมที่เขามีความเชื่อกันว่าเป็นความดกรธเป็นการลงโทษของพญานาคที่อาศัยอยู่ในที้หรือแม้แต่สิ่งลี้ลับของสะพานข้ามแม่น้ำ

เนื่องจากนี้ในระหว่างพื้นที่ที่มีคนอยู่ไปยังที่เกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ที่เขาว่ากันว่าสะพานแห่งนี้จะพังลงมาทุกปีเพราะพญานาคไม่อยากให้มนุษย์เข้ามาล่วงเกินหรือใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์นั่นเองโดยสิ่งเหล่านี้มันก็คือสิ่งลี้ลับที่ชาวบ้านยังหาคำตอบไม่ได้และส่วนใหญ่แล้วเขาได้เชื่อกันอีกว่าได้เป็นอภินิหารของพญานาคที่สิงสถิตอยู่ที่บริเวณเกาะแห่งนี้นั่นเอง

ดังนั้นหลังจากที่เราไปได้ข้อมูลตรงนี้มาเราได้เจาะลึกลงไปเพื่อจะหาข้อมูลลงไปเลื่อยๆปรากฏว่าชาวบ้านบริเวณนั้นหรือใครหลายๆคนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของพญานาคในป่าคำชะโนดแห่งนี้ส่วนใหญ่เขามีความเชื่อเพิ่มเติมขึ้นมาอีก

 

สนับสนุนโดย.  gclub สล็อตฟรี

ตำนานของพญาแสนภูปี พ.ศ.1871

ซึ่งเชียงแสนนครแห่งตำนานนี้ตรงนี้ทางวิชาการเชื่อว่าพญาแสนภูสร้างเมืองเชียงแสนในปี พ.ศ.1871 แล้วหลักฐานในทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมก็ยืนยันเชื่อมโยงไปถึงยุคต้นๆของล้านนาที่รับมาผ่านมาทางหริภุญชัย ซึ่งเป็นแว่นแคว้นในลุ่มแม่น้ำปิง

สิ่งหนึ่งที่ปรากฏก็คือสถาปตยกรรมและศิลปกรรมคือเป็นเจดีย์ทรงปราสาทห้ายอดโดยเจดีย์ลักษณะนี้สืบเนื่องยาวไปถึงที่พุกามที่มีเจดีย์ลักษณะนี้ก็เลยเชื่อมโยงว่าเจดีย์ที่วัดป่าสักรับอิทธิพลมาจากหริภุญชัยที่ลำพูนแล้วหริภุญชัยที่ลำพูนก็รับมาจากพุกาม

ส่วนหลักฐานก่อนยุคของพญาแสนภูทำไมถึงไม่พบเจออะไรเลยที่ยังไม่เจอได้การขุดค้นจากที่พยายามสำรวจในการขุดค้นของทางศิลปากรได้สันนิษฐานกันว่าเดิมบริเวณพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับพุทธศาสนาเข้ามาฉะนั้นในการนับถือของคนในยุคนั้นมันจึงเป็นลักษณะศาสนาธรรมชาติหรือศาสนาแบบผีดั้งเดิม

เพราฉะนั้นแล้วในการนับถือศาสนาแบบผีหรือศาสนาแบบดั้งเดิมจึงเป็นลักษณะของการสร้างสถานที่เคารพแบบไม่ถาวรถ้าเราสังเกตก็จะเป็นการสร้างแบบไม้ไผ่บ้างสร้างแบบกระต๊อกเล็กๆเป็นหอผีหรือเป็นศาลก็อาจจะใช้ไม้เนื้อแข็งหรือไม้อื่นๆมาสร้างแต่เราจะไม่เจอการสร้างสถานที่ทำพิธีกรรมด้วยอิฐหรือศิลาแลงแบบพุทธศาสนา

โดยเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ยุคนั้นเราไม่เจอสถาปัตยกรรมหรืองานสร้างที่ถาวรแม้ว่าในปัจจุบันอาณาจักรโยนกเชียงแสนจะล่มสลายไปแล้วนับตั้งแต่รัชกาลที่1แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เข้าล้อมและเผาทำลายบ้านเมืองเพื่อไม่ให้เป็นที่มั่นของข้าศึกพม่าชาวไทยวณกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงแสนก็ได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ตามแว่นแขวนต่างๆแต่ไม่ว่าจะผ่านปานแค่ไหนเชียงแสนที่มีสามเหลี่ยมทองคำก็ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญด้านเศรษฐกิจการค้าและการคณะมนาคมเช่นเดิม

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมืองโบราณแห่งนี้จะสามารถดึงดูดผู้คนให้กลับมาตั้งรกรากได้เสมอเช่นเดียวกับคุณครูปรเมศร์ที่โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคมที่ย้ายจากบ้านเกิดมาตั้งรกรากใหม่ที่เชียงแสนตามโอกาศทำกินและด้วยความหลงไหลในเสียงดนตรีล้านนาคุณครูปรเมศร์จึงได้หัดเล่นเครื่องดนตรีพื้นเมืองและแบ่งเวลาส่วนหนึ่งให้กับชมรมดนตรีในโรงเรียนี่เขาก่อตั้งขึ้น

นอกจากนี้ประวัติเดิมทีของคุณครูปรเมศร์พื้นเพเดิมเขาเป็นคนสุโขทัยแบ้วได้เข้ามาบรรจุเป็นครูที่นี่เมื่อ พ.ศ.2533 ครั้งแรกที่เขาได้ไปได้เห็นคนเฒ่าคนแก่เขาเข้าไปสอนดนตรีเด็กๆในโรงเรียนเขาได้เข้าไปฟังแล้วเกิดมีความสนใจ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    ทดลองเล่นสล็อต gclub

ประเพณีวันไหว้ครู

              ครูนั้นเปรียบเสมือนผู้ที่ให้วิชาความรู้กับบุคคลที่เราเรียกว่าลูกศิษย์  ซึ่งแน่นอนว่ากว่าครูแต่ละคนจะให้ความรู้กับลูกศิษย์ได้แต่ละคนนั้นต้องใช้ระยะเวลาอย่างยาวนานและต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเพราะคนแต่ละคนนั้นมีความเรียนรู้และความสนใจใคร่รู้แตกต่างกันออกไปดังนั้นกว่าที่ครูคนนึงจะสามารถสั่งสอนให้ศิษย์คนนึงเป็นคนดีได้นั้นจึงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเลยทีเดียวจึงทำให้เป็นที่มาของการที่ในทุกๆปีนั้นจะต้องมีวันไหว้ครู

            สำหรับวันไหว้ครูนั้นจัดขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความเคารพนับถือครูบาอาจารย์ที่ได้มีการเสียสละเวลาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดีนั่นเองซึ่งประเพณีการไหว้ครูนั้นเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณแล้วและการไหว้ครูนั้นไม่ใช่เพียงแค่การไหว้ครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนเท่านั้นแต่ยังมีครูต่างๆมากมาย

หลายสาขาอาชีพที่นับว่าเป็นครูและได้มีการจัดพิธีไหว้ครูเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของการเรียนนาฏศิลป์  โรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของการแสดง   โรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของการแผนนวดไทยโบราณหรือแม้แต่โรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของโหราศาสตร์ต่างๆ

  หรือปัจจุบันสถาบันการศึกษาที่สอนหลักสูตรต่างๆก็นับว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่ให้ประสาทความรู้และวิชาดังนั้นลูกศิษย์ลูกหาจึงควรที่จะมีการกำหนดวัน 1 วันเพื่อจัดทำพิธีกรรมไหว้ครูขึ้นมาซึ่งพิธีกรรมไหว้ครูนี้เป็นพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการระลึกถึงพระคุณของคุณครูที่เคยให้ความรู้มานั่นเอง

ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าถ้าหากเรานั้นได้มีการจัดพิธีกรรมไหว้ครูขึ้นมาแล้วจะทำให้ชีวิตของลูกศิษย์ลูกหาคนนั้นมีแต่ความรุ่งเรืองอนาคตมีแต่ความสุขสมบูรณ์นั่นเองเพราะการไหว้ครูนั่นย่อมหมายถึงว่าลูกศิษย์คนนั้นนับถือคุณครูด้วยความใจจริง

          การจัดพิธีไหว้ครูของแต่ละสถานที่นั้นก็จะแตกต่างกันตามวันเวลาและลักษณะของการไหว้ครูซึ่งถ้าเป็นการไหว้ครูภายในโรงเรียนนั้นเด็กนักเรียนก็จะมีการจัดเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนแล้วนำไปไหว้ครูร่วมกันซึ่งโดยปกติแล้วการไหว้ครูนั้นจะจัดขึ้นช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมหรือบางโรงเรียนอาจจะมีการเลื่อนไปตัดในเดือนมิถุนายนโดยปกติแล้วการไหว้ครูต้องมีการตัดไหว้ในวันพฤหัสบดีเท่านั้นแต่ไม่ได้มีการกำหนดตายตัวว่าจะเป็นพฤหัสบดีที่เท่าไหร่ปกติแล้วเราจะเห็นว่าการจัดพานไหว้ครูนั้นจะตรงกับวันที่ 16  

สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของวันไหว้ครูที่ให้มีการจัดให้ตรงกับวันพฤหัสบดีนะเพราะว่าความเชื่อนี้ได้รับอิทธิพลมาจากพวกพราหมณ์โดยระบุว่าวันพฤหัสบดีนั้นในเวลากลางวันถือว่าเป็นธาตุไปส่วนในเวลากลางคืนนั้นถือว่าเป็นธาตุน้ำซึ่งดาวพฤหัสบดีนั้นนับได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นดาวที่ให้ความรู้แก่มวลมนุษย์ดังนั้นส่วนใหญ่จึงถือเอาวันพฤหัสเป็นหลักในการที่จะจัดพิธีไหว้ครูนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  sagame

ประวัติกีฬาปิงปอง

      สำหรับกีฬาปิงปองนั้นมีในประเทศไทยมาแล้วหลายปีแต่จุดเริ่มต้นจริงๆนั้นเกิดขึ้นที่ต่างประเทศโดยประเทศที่มีการเล่นกีฬาปิงปองประเทศแรกก็คือประเทศอังกฤษนั่นเอง

ซึ่งปีแรกที่มีการเริ่มเล่นกีฬาปิงปองกันนั้นเริ่มขึ้นมาในปีคริสต์ศักราช 1890 โดยสมัยนั้นปกรณ์ในการตีลูกปิงปองยังไม่เกินเหมือนในปัจจุบันซึ่งคนในสมัยก่อนนั้นมีการนำไม้มาใช้สำหรับตีลูกปิงปองโดยจะเอาหนังสติ๊กหม้อหุงต้มทำให้เกิดความนุ่มขึ้นแต่ลักษณะของไม้ตีปิงปองในสมัยก่อนกับสมัยปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

และคนในสมัยก่อนยังใช้พลาสติกมาผลิตเป็นลูกปิงปองซึ่งพลาสติกดังกล่าวนั้นเป็นพลาสติกผสมการสังเคราะห์ และเวลาเล่นการเล่นกับโต๊ะซึ่งโตก็จะเป็นโต๊ะไม้ดังนั้นเวลาตีลูกจะเกิดเสียงระหว่างลูกกระทบกับพื้นโต๊ะทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมาซึ่งเสียงที่ดังขึ้นนั้นมีลักษณะคล้ายกับ การออกเสียงปิ๊ก ป๊อก ทำให้กีฬาชนิดนี้ถูกตั้งชื่อเรียกว่าปิงปอง

โดยมีการตั้งชื่อขึ้นมาให้สอดคล้องกับเสียงที่ลูกบอลกระทบกับโต๊ะนั่นเองหลังจากที่เป็นที่นิยมกันมากในประเทศอังกฤษกีฬาชนิดนี้ก็มีการเผยแพร่ออกไปอีกหลายประเทศโดยตอนที่ได้รับการเผยแพร่ต้นแรกๆนั้นก็คือกลุ่มประเทศในโซนยุโรปซึ่งหลังจากที่กลุ่มประเทศทางโซนยุโรปได้มีการเข้ามาเริ่มเล่นปิงปองก็ได้มีการพัฒนา

ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเล่นวิธีการจับไม้หรือแม้แต่รูปแบบของอุปกรณ์ในการแล่นเพราะหลังจากที่มีการเล่นปิงปองด้วยการใช้อุปกรณ์แบบเดิมมาได้สักระยะหนึ่งช่วงประมาณปีคริสตศักราช 1914 การเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ในการผลิตไม้ตีปิงปองและลูกปิงปองโดยไม้ตีปิงปองนั้น

จากเดิมที่จะใช้หนังของสัตว์มาหุ้มกับไม้ปิงปองก็ถูกเปลี่ยนมาใช้เป็น ยางมาหุ้มกับไม้ปิงปองแทนจากเดิมที่เคยใช้เป็นหนังสัตว์ซึ่งอย่างนี้จะมีการติดเม็ดยางเอาไว้ด้วย  หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาวิธีการเล่นและวิธีการจับไม้ปิงปองเรื่อยมาซึ่งในปีคริสต์ศักราช 1922

ได้มีการออกกฎใหม่เกี่ยวกับเรื่องของการจดทะเบียนทางด้านการกีฬาโดยมีการเปลี่ยนชื่อจากกีฬาปิงปองมาเป็นกีฬาเทเบิลเทนนิสแทน แต่นักกีฬาปิงปองหรือกีฬาเทเบิลเทนนิสก็กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายถึงขนาดที่ว่าได้มีการจัดการแข่งขันกีฬาปิงปองขึ้น

โดยเป็นการแข่งขันระดับโลกซึ่งเชิญหลายประเทศมาร่วมในการแข่งขันซึ่งการจัดการแข่งขันครั้งแรกนั้นจัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษโดยจัดที่กรุงลอนดอนสำหรับการจัดแข่งขันในปีแรกนั้นมีการจัดขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1926 โดยจัดขึ้นในเดือนธันวาคมนั่นเอง และหลังจากนั้น กีฬาปิงปองก็เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศแถบเอเซีย

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย      ีดฟิำะ

ร่องรอยแห่งอดีต 

เป็นเวลาช้านานที่งานศิลปะต่างๆที่เข้ามากล่อมเกลาจิตใจผู้คนอื่นและแสดงการส่งต่อเรื่องราวต่างๆไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์หรือการศึกษาตามผู้คนที่อยู่ข้างหลังก็สามารถศึกษางานประวัติศาสตร์เกี่ยวกับงานศิลปะได้ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นงานร่วมสมัยเลยแม้แต่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับศิลปะในยุคปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งเดียว

เพราะผู้คนต่างๆสามารถเข้าถึงงานศิลปะที่ง่ายมากขึ้นโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือความเป็นอยู่ ผู้คนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่เป็นอุปกรณ์ Notebook ต่างๆซึ่งตอนนี้สามารถเข้าถึงผู้คนได้

โดยเฉพาะในส่วนของอินเทอร์เน็ตที่มีข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามบนโลกของเรามีงานประวัติศาสตร์หรือประติมากรรมต่างๆ งานศิลปะต่างๆก็มีเป็นจำนวนมากผู้คนต่างๆมีกิจวัตรประจำวันตามยุคตามสมัยต่างๆหรือแม้แต่จะเป็นการรวมอำนาจของเมือง

นี่คือทำให้งานศิลปะทั้งสิ้นคือร่องรอยแห่งอดีตในการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ หากมองให้ดีๆผู้คนต่างๆมีการจดบันทึกเรื่องราวผ่านตัวอักษรหรือตัวหนังสือต่างๆ แต่ศิลปะก็เป็นหนึ่งในนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของเมืองต่างๆหรือการรุกรานตามสถานที่ต่างๆ ศึกสงครามรวมถึงกิจวัตรในการใช้ชีวิตของผู้คนต่างๆในแต่ละยุคสมัยนี้จึงทำให้ร่องรอยแห่งการศึกษาต่างๆสามารถศึกษาได้ผ่านทางงานศิลปะทั้งสิ้น ยุคสมัยของผู้คนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันงานศิลปะสามารถเข้าถึงทุกคนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษาต่างๆหลักสูตรการสอนการเรียนในยุคปัจจุบันก็มีความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาน่าจะผ่านทั้งสิ้น ให้เป็นการระบายอารมณ์สุนทรีย์ภาพหรือการพัฒนาการของเด็กต่างๆ

อุปกรณ์การเรียนการสอนในยุคปัจจุบันก็สามารถค้นหาได้ไงมันขึ้นไม่ว่าจะเป็นดินสอปากกายางลบ หรือแม้แต่จะเป็นอุปกรณ์การเขียนการทำงานต่างๆแกะสลักต่างๆ นี่เอง

จึงทำให้การพัฒนาวัฒนธรรมของผู้คนในการพัฒนาค่อนข้างเยอะอย่างไรก็ตามในประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเยอะเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นศิลปะการแกะสลักผลไม้ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นเวลาช้านานผู้คนต่างๆสามารถศึกษาเรื่องราวต่างๆประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการทำงานหรือวัฒนธรรมต่างๆได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ยุคสมัยของผู้คนจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของการทำงานหรือการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ผู้คนในอดีตต่างๆมีการส่งต่อเรื่องราวมาถึงคนในยุคปัจจุบันผ่านทางตัวอักษรการจดบันทึกหรือแม้แต่จะเป็นงานศิลปะ งานศิลปะคือสิ่งที่ทุกยุคทุกสมัยมีการทำอยู่ตลอดเวลานี้จึงทำให้แต่ละยุคแต่สมัยเราสามารถศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้อยู่เสมอ

การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมความเป็นอยู่หรือแม้แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงของลักษณะในการใช้ชีวิตของผู้คนจึงทำให้มีการสร้างงานที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามนี้จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยทำให้มีงานร่วมสมัยต่างๆเกิดขึ้นมามากมาย และในอนาคตคนรุ่นหลังก็จะสามารถศึกษาได้จากงานที่มีในปัจจุบัน 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sa gaming ทดลองเล่น

ตำนานภาคเหนือ ตำนานเมืองลับแล 

         วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องตำนานของจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งตำนานที่เป็นเรื่องเล่ากันมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมเล่าขานกันนั่นก็คือตำนานเมืองลับแลเนื่องจากว่าที่จังหวัดอุตรดิตถ์นั้นมีอำเภอเล็กๆอยู่อำเภอหนึ่งซึ่งอำเภอที่ว่านั้นชื่อว่าลับแลซึ่งเมื่อก่อนนั้นจังหวัดอุตรดิตถ์ไม่ค่อยที่จะมีความเจริญมากนักพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเขาซะส่วนมาก

ดังนั้นหากใครก็ตามที่ไม่ชำนาญทางเวลาที่จะเดินทางไปที่หมู่บ้านลับแลก็มักจะหลงทางจึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเชื่อว่าที่จังหวัดอุตรดิตถ์นั้นมีเมืองลับแลซ่อนอยู่ ในตำนานนั้นมีการเล่าว่าในสมัยโบราณนั้นชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าที่จังหวัดแห่งนี้มีเมืองลับแลแต่ไม่เคยมีใครหาเจอเพราะจะถูกบังตาเอาไว้อยู่มาวันหนึ่งมีชายหนุ่มในหมู่บ้านคนหนึ่งเข้าไปในป่าเขาเห็นหญิงสาวเป็นจำนวนมากเดินออกมา

และหญิงสาวเหล่านั้นก็ถือใบไม้มาคนละใบแล้วนำใบไม้เหล่านั้นไปซ่อนเขาจะได้ซุ่มแอบมองอยู่ หลังจากหญิงสาวสร้างใบไม้เสร็จแล้วต่างก็เดินทางไปทำธุระของตนเองหลังจากนั้นก็กลับมาและพากันมาหาใบไม้ที่ตนเองซ่อนเอาไว้มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ที่ตัวเองซ่อนเอาไว้ไม่เจอเนื่องจากว่าชายหนุ่มได้แอบไปขโมยใบไม้ของนางมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีกระวนกระวายใจมาก จึงได้เอาใบไม้เมื่อคืนให้กับเธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องพาเขาไปยังบ้านเมืองของเธอด้วยซึ่งเธอก็ยินยอมเมื่อเข้าไปในเมืองลับแลปรากฏว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิงจะมีผู้ชายอยู่น้อยมากเขาจึงได้ถามถึงเหตุผลซึ่งเธอก็ตอบว่าเป็นเพราะที่เมืองลับแลอย่างนี้ทุกคนจะต้องไม่พูดโกหกและถ้าใครพูดโกหกก็จะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน

ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่นั้นมักจะโกหกทำให้คนในหมู่บ้านนี้มีน้อยที่เป็นผู้ชาย  ชายหนุ่มขอยู่ในเเมืองลับแลกับหญิงสาวด้วย โดยแม่ของหญิงสาวก็อนุญาติแต่มีข้อแม้ว่าห้ามพูดโกหก โดยชายหนุ่มก็ตกปากรับคำเป็นอย่างดีอยู่ไปไม่นานชายหนุ่มและหญิงสาวก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกันและแต่งงานกันจนมีลูกด้วยกัน 1 คนอยู่มาวันหนึ่งขณะที่หญิงสาวออกไปธุระข้างนอกนั้น

ลูกของพวกเขาเกิดร้องไห้งอแงชายหนุ่มจึงได้มีการกล่อมลูกเพื่อให้ลูกหยุดร้องไห้แต่บังเอิญว่าข้อความที่เขาพูดกับลูกนั้นเป็นคำพูดที่โกหกแม่ยายของเขามาได้ยินเข้าพอดีทำให้แม่ยายของเขานั้นไปบอกกับลูกสาวว่าสามีของเธอนั้นพูดโกหกและให้ขับไล่ออกจากหมู่บ้านหญิงสาวจึงบอกให้สามีของเธอเดินทางออกจากหมู่บ้านโดยเธอได้เตรียมอาหารน้ำดื่มและข้าวของที่จำเป็นในการเดินทางไปให้ด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้นเธอได้มีการนำขิงใส่ไปให้สามีเธอเป็นจำนวนมากในที่สุดก็ได้หนูจำเป็นต้องเดินทางออกนอกหมู่บ้านคณาที่เขาเดินทางกลับไปหมู่บ้านเดิมของเขานั้นเขารู้สึกว่ายิ่งเดินห่างไกลจากเมืองลับแลมากเท่าไหร่ถุงย่ามที่เขาสะพายมานั้นก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้นเมื่อเปิดออกดูก็พบว่ามีขิงเป็นจำนวนมากอยู่ในย่ามเขาจึงได้โยนขิงทิ้งเลยเขาได้โยนทิ้งออกตลอดทางไปเรื่อยๆจนเหลือแค่อันเดียว

เมื่อไปถึงหมู่บ้านเขาก็เปิดถุงย่ามดูปรากฏว่าขิงที่เหลือเพียงอันเดียวเท่านั้นกลายเป็นทองคำด้วยความเสียดายเขาจึงย้อนกลับไปเพื่อจะไปเก็บขิงที่เขาโยนทิ้งแต่ปรากฏว่าสิ่งเหล่านั้นได้โตเป็นต้นขิงไปหมดแล้วและเมื่อเขาขุดลงไปดูก็พบว่าทางใต้ดินนั้นก็เป็นเพียงแค่ขิงธรรมดาเท่านั้นเขาพยายามที่จะตามหาเมืองลับแลแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความตั้งใจและกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนเองเหมือนเดิม

 

สนับสนุนโดย  สมัครจีคลับ ไม่มีขั้นต่ำ

ประวัติหลวงปู่โสมเฝ้าทรัพย์

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อหลวงปู่โสมเฝ้าทรัพย์กันมาบ้างวันนี้จะมาเล่าประวัติของหลวงปู่โสมเฝ้าทรัพย์ให้ทุกคนได้ทราบกันโดยเรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของพระองค์เจ้าพีระซึ่งพระองค์บอกว่าในชีวิตพระองค์ไม่เคยเชื่อเรื่องผีมาก่อนเลยแต่พระองค์ได้พบประสบพบเจอกับตนเอง

เพราะว่ามีอยู่มาวันหนึ่งมีพรภิกษุสงนำลายแทงสมบัติมามอบให้กับพระองค์ซึ่งในลายแทงนั้นมีการระบุเอาไว้ถึงที่ซ่อนสมบัติจำนวน 16แห่งและยังบอกด้วยว่าภายในบริเวณพื้นที่ของเมืองกรุงศรีอยุธยายังมีที่ซ่อนสมบัติอีก 300กว่าแห่งท่านจึงได้เดินทางไปติดต่อกับกรมศิลปากรเพื่อทำการของคุณสมบัติโดยมีการทำสัญญากับกรมศิลปากรไว้ว่าถ้าจะขอส่วนแบ่ง 10% ในการขุดและอีก90%จะมอบให้กับกรมศิลปกร

ซึ่งเมื่อตกลงกันได้ทั้งองพีระก็ได้ทำการนำรถไปขุดตรงจุดที่ลายแทงมีการบอกเอาไว้ซึ่งพระองค์ได้สั่งเครื่องสแกนมาทำการสแกนหาจุดฝังสมบัติและเมื่อเครื่องสแกนดังท่านก็ให้คนขุดดินลงไปแต่ขุดเท่าไหร่ก็เจอเพียงแค่ถ้วยชามเท่านั้นซึ่งก่อนที่จะมาขุดทางไปหาข้อมูลมาแล้วว่าตรงบริเวณนี้เป็นจุดที่ฝังสมบัติของพระมเหสีของพระเจ้าอู่ทองและตั้งแต่พระองค์สั่งให้คนขุดหาสมบัติพระองค์ก็พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดมา

โดยตลอดซึ่งส่วนใหญ่แล้วพระองค์จะได้ยินเสียงใครขายคนขุดดินอยู่รอบบริเวณบ้านของตนเองแต่เมื่อไปดูก็จะไม่เห็นมีอะไรโดยจะเป็นแบบนี้อยู่ทุกวันและเมื่อพระองค์ได้นำเรื่องราวดังกล่าวไปเล่าให้คนอื่นฟังทุกคนต่างก็บอกว่าให้พระองค์หยุดขุดเพราะเกรงจะเกิดอาถรรพ์แต่พระองค์ก็ไม่ส่งเชื่อยังคงสั่งให้คนงานขุดต่อไป

ซึ่งระหว่างนี้เราคนงานก็มีทยอยเสียชีวิตไปมีอยู่วันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นผู้ชายสูงใหญ่คนหนึ่งโดนตรงเข้ามาหาโดยชายคนดังกล่าวแต่งชุดไทยโบราณแบบทหารแต่ว่าไม่มีหัวแต่คนอื่นที่บริเวณนั้นไม่มีใครมองเห็นนอกจากพระองค์คนเดียวพระองค์นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระที่พระองค์นับถือฟัง

โดยพระบอกว่านั่นคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์เขามาเตือนไม่ให้ไปยุ่งกับสมบัติของเค้าแต่องค์พีระก็ไม่สนใจฟังยังคงสั่งให้คนงานขุดดินหาสมบัติเหมือนเดิมจึงส่งผลให้คำสาปแช่งที่มีการเขียนไว้ตรงแผนที่เป็นจริง เพราะหลังจากนั้นคนสนิทขององค์พีระ ต่างก็พากันล้มตาย และกิจการขององค์พีระที่ทำอยู่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ หลังจากเกิดเรื่องราวมากมายท่านก็ทรงล้มเลิกความคิดที่จะขุดเอาสมบัติขึ้นมาและไม่มีกล้าที่จะขุดสมบัติอีกเลย

 

สนับสนุนโดย  Gclub ฝากขั้นต่ำ50