ประวัติหลวงปู่โสมเฝ้าทรัพย์

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อหลวงปู่โสมเฝ้าทรัพย์กันมาบ้างวันนี้จะมาเล่าประวัติของหลวงปู่โสมเฝ้าทรัพย์ให้ทุกคนได้ทราบกันโดยเรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของพระองค์เจ้าพีระซึ่งพระองค์บอกว่าในชีวิตพระองค์ไม่เคยเชื่อเรื่องผีมาก่อนเลยแต่พระองค์ได้พบประสบพบเจอกับตนเอง

เพราะว่ามีอยู่มาวันหนึ่งมีพรภิกษุสงนำลายแทงสมบัติมามอบให้กับพระองค์ซึ่งในลายแทงนั้นมีการระบุเอาไว้ถึงที่ซ่อนสมบัติจำนวน 16แห่งและยังบอกด้วยว่าภายในบริเวณพื้นที่ของเมืองกรุงศรีอยุธยายังมีที่ซ่อนสมบัติอีก 300กว่าแห่งท่านจึงได้เดินทางไปติดต่อกับกรมศิลปากรเพื่อทำการของคุณสมบัติโดยมีการทำสัญญากับกรมศิลปากรไว้ว่าถ้าจะขอส่วนแบ่ง 10% ในการขุดและอีก90%จะมอบให้กับกรมศิลปกร

ซึ่งเมื่อตกลงกันได้ทั้งองพีระก็ได้ทำการนำรถไปขุดตรงจุดที่ลายแทงมีการบอกเอาไว้ซึ่งพระองค์ได้สั่งเครื่องสแกนมาทำการสแกนหาจุดฝังสมบัติและเมื่อเครื่องสแกนดังท่านก็ให้คนขุดดินลงไปแต่ขุดเท่าไหร่ก็เจอเพียงแค่ถ้วยชามเท่านั้นซึ่งก่อนที่จะมาขุดทางไปหาข้อมูลมาแล้วว่าตรงบริเวณนี้เป็นจุดที่ฝังสมบัติของพระมเหสีของพระเจ้าอู่ทองและตั้งแต่พระองค์สั่งให้คนขุดหาสมบัติพระองค์ก็พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดมา

โดยตลอดซึ่งส่วนใหญ่แล้วพระองค์จะได้ยินเสียงใครขายคนขุดดินอยู่รอบบริเวณบ้านของตนเองแต่เมื่อไปดูก็จะไม่เห็นมีอะไรโดยจะเป็นแบบนี้อยู่ทุกวันและเมื่อพระองค์ได้นำเรื่องราวดังกล่าวไปเล่าให้คนอื่นฟังทุกคนต่างก็บอกว่าให้พระองค์หยุดขุดเพราะเกรงจะเกิดอาถรรพ์แต่พระองค์ก็ไม่ส่งเชื่อยังคงสั่งให้คนงานขุดต่อไป

ซึ่งระหว่างนี้เราคนงานก็มีทยอยเสียชีวิตไปมีอยู่วันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นผู้ชายสูงใหญ่คนหนึ่งโดนตรงเข้ามาหาโดยชายคนดังกล่าวแต่งชุดไทยโบราณแบบทหารแต่ว่าไม่มีหัวแต่คนอื่นที่บริเวณนั้นไม่มีใครมองเห็นนอกจากพระองค์คนเดียวพระองค์นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระที่พระองค์นับถือฟัง

โดยพระบอกว่านั่นคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์เขามาเตือนไม่ให้ไปยุ่งกับสมบัติของเค้าแต่องค์พีระก็ไม่สนใจฟังยังคงสั่งให้คนงานขุดดินหาสมบัติเหมือนเดิมจึงส่งผลให้คำสาปแช่งที่มีการเขียนไว้ตรงแผนที่เป็นจริง เพราะหลังจากนั้นคนสนิทขององค์พีระ ต่างก็พากันล้มตาย และกิจการขององค์พีระที่ทำอยู่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ หลังจากเกิดเรื่องราวมากมายท่านก็ทรงล้มเลิกความคิดที่จะขุดเอาสมบัติขึ้นมาและไม่มีกล้าที่จะขุดสมบัติอีกเลย

 

สนับสนุนโดย  Gclub ฝากขั้นต่ำ50

ประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของรองเท้ายี่ห้อConverse

ว่ากันว่ารองเท้าแบรนด์ Converse นั้นเป็นแบรนด์ตามที่สร้างขึ้นจากอเมริกา โดยแบรนด์นี้มีการจัดตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 และผู้ที่มีความคิดริเริ่มจัดตั้งบริษัทรองเท้า Converse เป็น Marquis Mills Converse ทีแรกๆที่มีการผลิตรองเท้า Converseออกมานั้น

ทางบริษัทเน้นย้ำแนวทางการทำรองเท้าในการเล่นกีฬา โดยรองเท้า Converse ที่ผลิตออกมาเป็นสินค้าตัวแรกเป็น All Star ที่จะมีเครื่องหมายรูปดาวสีน้ำเงินในวงกลมพร้อมกันนั้นก็มีตัวหนังสือเขียนว่า Converseไว้ที่รองเท้าด้วย ซึ่งในปี ค.ศ. 1936 ถือได้ว่าเป็นปีทองคำของรองเท้าแบรนด์นี้เลยก็ว่าได้ไพเราะเป็นรองเท้าที่นักกีฬาทั้งโลกรู้จักรวมทั้งพวกเขามักจะสวมใส่เวลาเล่นกีฬากันมากมาย 

จนกระทั่งขนาดที่ว่าสำหรับในการแข่งกีฬาโอลิมปิกในปีนั้นนักกีฬาบาส นักบาสเก็ตบอลทุกคนต่างก็สวมรองเท้า Converse รุ่น Chuck Taylor All Star เว้นแต่รองเท้าแบรนด์นี้จะนิยมในกลุ่มนักกีฬาแล้วยังเป็นที่ชื่นชอบใส่กันในกลุ่มของทหารอีกด้วย 

โดยยิ่งไปกว่านั้นทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับรองเท้า Converse ได้รับความพึงพอใจมาอย่างช้านานและก็ถึงตอนหลังๆจะมีรองเท้ายี่ห้ออื่นเริ่มเปิดตัวมาเป็นคู่ปรปักษ์ แต่ว่าก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ดีโดยในช่วงนั้นการแบ่งส่วนแบ่งทางการตลอดของรองเท้า แบรนด์ Converse ได้ส่วนแบ่งการตลาดมากมายสุดมากถึง 80% อย่างยิ่งจริงๆ แม้กระนั้นมาในตอนปี ค.ศ. 2001 บริษัทกำเนิดมีปัญหาจนกระทั่งเกือบจะที่จะล้มละลาย จนกระทั่งทางบริษัทยี่ห้อ Nike จำต้องเข้ามาช่วยเหลือ

โดยการเข้ามา เทคโอเว่อร์ รวมทั้งปรับปรุงต้นแบบรองเท้าให้มีความสวยสดงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ สีสันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็วางแบบให้ผู้คนทั่วๆไปสวมได้ด้วยเว้นเสียแต่นักกีฬารวมทั้งทหาร หญิงและก็ชายสามารถใส่แล้วดูดีหมดทำให้ Converse กลับมาเป็นที่พอใจของทุกคนอีกที รวมทั้งถ้าเกิดคนไหนที่ไม่ใช่สาวกของรองเท้า Converseตัวจริงจะรู้สึกว่ารองเท้าแบรนด์นี้ไม่ค่อยมีอะไรแต่ว่าแตกต่างแต่ว่าชอบถูกใจมีชื่อเรียกที่แตกต่าง ด้วยเหตุนี้ พวกเราจะมาเสนอแนะแต่ละรุ่นว่ามีความไม่เหมือนกันอย่างไรบ้าง

  1. Chuck Taylor All Atar สำหรับรุ่นนี้แม้ว่าจะแก่มากยิ่งกว่า80ปีมาสุดแต่ก็ยังเป็นรุ่นคลาสสิกที่คนจำนวนมากนิยมสวมกันแบบไม่ตกเทรน เนื่องจากว่ารองเท้ารุ่นนี้จะใส่สบายและก็คงทน รวมทั้งมีชีวิตชีวาเรียบง่าย เหมาะสมกับการใส่กับชุดอะไรก็ได้ ตอนนี้มีทั้งยังแบบห่อหุ้มข้อแล้วก็แบบข้อสั้น
  2. Conns สำหรับรุ่นนี้จะย้ำเรื่องของน้ำหนักค่อยและก็ยึดเกาะพื้นก้าวหน้าได้รับความนิยมกันมากมายในตอนสมัย90
  3. Jack Purcell สำหรับรุ่นนี้จะเน้นย้ำของหัวข้อการรับน้ำหนักและก็การคุ้มครองการชนเนื่องจากว่ารุ่นนี้ดีไซน์มาเพื่อนักกีฬาแบดมินตันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
  4. Chuck Taylor All Atar II สำหรับรุ่นนี้เป็นรุ่นเปลี่ยนแปลงมาจากรุ่นแรกรุ่นนี้จะน้ำหนักเบาใส่แล้วไม่เมื่อยล้าเท้า 

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  คาสิโนออนไลน์ฝากไม่มีขั้นต่ำ

เมืองลับแลเป็นเมืองลี้ลับ

เมืองลับแล

คนในจังหวัดอุตรดิตถ์มักจะได้ยินเรื่องเล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย และเป็นเมืองที่มีตำนานเล่าขานให้ฟัง เมืองลับแลมีความเป็นอยู่คล้ายมนุษย์กึ่งเทพและกึ่งมนุษย์และบรรดาสัตว์เดรัจฉานก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้ และข้าวของเครื่องใช้ก็ใช้ด้วยการเนรมิตขึ้นมา และห้ามพูดปดโกหก ในบริเวณที่อยู่ในเมืองนี้

เมืองลับแลเป็นเมืองลี้ลับ

  เมืองลับแลเป็นเมืองที่ลี้ลับ มีทางเลี้ยงลดซับซ้อนกว่าจะเข้าไปถึงได้ และผู้คนในหมู่บ้านจะเป็นหญิงม่ายเป็นส่วนใหญ่ และจะยึดมั่นในความดี มีศีลธรรมและวาจาสัตว์เป็นหลัก และต่อมาได้มีผู้ชายคนหนึ่งเดินหลงป่ามาได้เห็นผู้หญิงหลายคนเดินออกมา ด้วยความสงสัยและอยากรู้จึงเดินตามพวกผู้หญิงและได้หลงเข้าไปในเมืองลับแลนั้น และได้เห็นว่าเมืองนี้มีแต่ผู้หญิง และได้เกิดรักใคร่ชอบพอกับผู้หญิงในหมู่บ้านคนหนึ่งและได้อยู่กินกันตามประสา ผัว เมีย และฝ่ายหญิงขอสัญญาจากฝ่ายชายว่าห้ามพูดเท็จ ฝ่ายชายก็ตกลง

และทั้งสองก็อยู่กินกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง วันหนึ่งฝ่ายหญิงได้ออกไปเก็บผักหาฟื้น และลูกก็ร้องไห้ด้วยความหิวนม ผู้เป็นพ่อไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้บอกลูกว่าแม่กลับมาแล้ว ลูกจึงหยุดร้องไห้ และเมื่อภรรยาทราบว่า สามีของตัวนั้นโกหก จึงต้องให้สามีออกจากเมืองลับแลนี้ไป

ชาวบ้านต่างก็มาไล่ให้ผู้เป็นสามีออกไป นางจึงเกิดความสงสารสามีจึงหยิบขมิ้นใส่กระเป๋าจนเต็มให้สามีไปด้วย แต่ด้วยระยะการเดินทางนั้นไกล สามีจึงหยิบขมิ้นนั่นทิ้งไปตลอดทางจนเหลือหัวเดียว เมื่อตนมาถึงบ้านจึงหยิบขมิ้นที่เหลือนั่นออกมา พบว่ากลายเป็นทอง และจึงได้วิ่งกลับมาคิดจะเก็บขมิ้นที่ทิ้งไปแล้ว แต่ก็ไม่พบขมิ้นนั้นเลย

ตำนานเมืองลับแล

ในสมัยก่อนนั้นเมืองลับแลเป็นป่าชุกชุมไปด้วยสัตว์มากมาย และนายพรานที่สามารถเข้าไปได้ นั้นต้องมีวิชาแกร่งกล้า แต่ก็มีเรื่อเล่าเมื่อได้เข้าไปแล้วไม่มีพรานคนไหนออกมาได้อีกเลยต่างก็สูญหายกันไปหมด และได้มีการเล่าว่าเมื่อนายพรานเข้าไปแล้วจะมีผีป่า มาจำแลงกายมาเป็นสาวงามมาล่อลวงนายพรานและถูกกินเป็นอาหารแก่ผีป่ากันหมด และต่อมาได้มีนายพรานที่มีวิชาอาคมหรือจอมขมังเวทได้ชักชวนเพื่อนอออกไปล่าสัตว์อีกสองคน จึงมีเพื่อนเดินทางสามคนและก็ได้หลงเข้าไปในป่าของเมืองลับแล

และก็ได้ถูกผีสาวหลอกไปกินถึงสองคน ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นได้ถูกผีสาวนำเข้าไปอยู่ในถ้ำ และได้เอาทำสามีเมื่อผีสาวออกไปหาอาหารก็จะทำการปิดถ้ำไว้เพื่อไม่ให้สามีของตนไปไหน อยู่กันมาไม่นานก็ได้เกิดมีลูกด้วยกันเมื่อถึงเวลาที่ผีสาวจะออกไปหาอาหารกิน ลูกก็ได้เล่นอยู่บริเวณหน้าปากถ้ำและได้ทำก้อนหินถูกปากถ้ำ

ปากถ้ำจึงเปิดออกชายหนุ่มจึงวิ่งหนีออกมาได้และเมื่อผีสาววิ่งตามชายหนุ่มจึงโดดลงหลุม ผีสาวนึกว่าชายหนุ่มตายจึงได้ จึงได้โยนถุงย่ามให้สามีเอาไว้ใช้ในเมืองผี และเมื่อชายหนุ่มหนีรอดออกมาได้จึงได้เปิดถุงย่ามดูเป็นทอง จึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับต้นให้บรรดาญาติพี่น้อง และเพื่อนพ้องฟัง

 

สนับสนุนโดย  เว็บบาคาร่าฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

เหตุผลที่ทำไม พระแก้วมรกตจึงมีเครื่องทรงให้เปลี่ยนมากถึง 3 ฤดู

 เชื่อว่าในที่นี้คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักกับพระแก้วมรกต พระพุทธรูปที่มีรูปองค์สีเขียวตลอดทั้งองค์ ซึ่งตลอดทั้งองค์ของพระแก้วมรกตนั้นทำมาจากหยก

และเป็นหยกก้อนเดียวกันทำให้องค์ของพระแก้วมรกตนั้นไม่มีรอยต่อที่องค์พระพุทธรูปเลย ตามประวัติของพระแก้วมรกตนั้นมีอายุมานานหลายร้อยปี เคยประดิษฐานอยู่ที่เชียงใหม่ และเวียงจันทร์มาก่อน ก่อนที่จะถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งปัจจุบันวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงเทพนั่นเอง โดยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันแล้วพระแก้วมรกต ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือกันเป็นอย่างมาก

ซึ่งสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ท่าน ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีหรือก็คือเมืองหลวงนั่นเอง โดยท่านได้สั่งให้มีการสร้างพระราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามไว้ในเขตพื้นทีของพระบรมมหาราชวัง โดยมีการสั่งให้สร้างวัดไว้ใกล้กับวัง และเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว รัชกาลที่ 1 ก็ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ที่โบสถ์ หลังจากนั้นก็ทรงมีรับสั่งให้สร้างเครื่องทรงขึ้นมาจำนวน 2 ชุดเพื่อถวายแด่พระแก้วมรกต

โดยชุดแรกคือชุดฤดูร้อน ส่วนชุดที่สองคือ ชุดฤดูฝน ซึ่งเครื่องทรงของพระแก้วมรกตจะถูกสร้างมาจากทองคำทั้งสิ้น เมื่อมีการสร้างเครื่องทรงเสร็จแล้ว พระองค์จึงถวายเป็นพุทธบูชา และต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3  พระองค์ได้ทรงสั่งให้มีการสร้างชุดเครื่องทรงให้กับพระแก้วมรกตเพิ่มอีกจำนวน 1 ชุดเป็นเครื่องทรงสำหรับเอาไว้เปลี่ยนในช่วงฤดูหนาว

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม พระแก้วมรกตจึงมีเครื่องทรงให้เปลี่ยนถึง 3 ชุดซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ทุกฤดูกาล ซึ่งหลังจากที่พระแก้วมรกตมีเครื่องทรงที่ทำมาจากทองคำทั้ง 3 ชุดแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 จึงได้ทรงโปรดให้มีการกำหนดพระราชพิธีให้มีการเปลี่ยนเครื่องทรงทั้ง 3 ชุดให้กับพระแก้วมรกตด้วย โดยจะให้ใส่สลับกันไปทุกฤดู ซึ่งการเปลี่ยนเครื่องทรงให้กับพระแก้วมรกตนั้นจะต้องเป็นพระมหากษัตรแห่งราชวงศ์จักรีเท่านั้นในการที่จะเปลี่ยนเครื่องทรงให้พระแก้วมรกต

ยกเว้นว่าพระมหากษัตรไม่ว่าติดราชกรณียกิจ จึงจะให้เหล่าเชื้อพระวงศ์มากระทำหน้าที่เปลี่ยนเครื่องทรงให้กับพระแก้วมรกตแทน ซึ่งกำหนดวันที่จะมีการเปลี่ยนเครื่องทรงให้กับพระแก้วมรกตมีดังนี้

  1. ชุดฤดูร้อนจะเปลี่ยนประมาณเดือนมีนาคม โดยจะทำในวันแรม  1 ค่ำ เดือน4 
  2. ชุดฤดูฝนจะเปลี่ยนประมาณเดือนกรกฎาคมโดยจะทำในวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 
  3. ชุดฤดูหนาวจะเปลี่ยนประมาณเดือนพฤศจิกายน โดยจะทำในวันแรม 1 ค่ำเดือน 12 

   ในช่วงสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อถึงกำหนดต้องเปลี่ยนเครื่องทรง ทางกรมธนารักษ์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาเครื่องทรง ได้เห็นว่าเครื่องทรงของพระแก้วมรกตมีอายุมาหลายร้อยปีแล้วและได้รับความเสียหายจนไม่สามารถที่จะซ่อมได้ จึงได้ทำการขออนุญาตรัชกาลที่ 9 เพื่อจัดทำเครื่องทรงทั้ง 3 ชุดขึ้นมาใหม่และเมื่อทำเสร็จทางกรมธนารักษ์ก็จัดถวายรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสที่ท่านขึ้นครองราชย์ครบรอบ 50 ปีพอดีซึ่งชุดดังกล่าวยังมีการใช้มาจนถึงปัจจุบัน

การทอดกฐิน

 

การทอดกฐินนี้ถือเป็นประเพณีหนึ่งของคนไทย โดยการนำผ้ามาถวายแก่พระภิกษุ ที่ได้จำพรรษามาครบ สามเดือนและการทอดกฐินจะทำได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น จะทำพิธีทอดกฐินหลังจากออกพรรษาแล้ว มีระยะเวลาในการรับกฐินได้หนึ่งเดือน นับจากวันออกพรรษาจนถึงวันลอยกระทง จะทำก่อนหรือหลังวันที่กำหนดนี้ไม่ได้เป็นอันขาด จึงเรียกช่วงนี้ว่าเทศกาลกฐิน ในสมัยก่อนการทอดกฐินคือการที่ชาวบ้านนำผ้าที่ทำไว้เพื่อจะไปถวายพระ แต่ไม่สามารถเจาะจงได้ว่าพระรูปไหน จึงได้นำผ้าที่เตรียมไว้ไปวางพาดบนต้นไม้ และเมื่อมีพระภิกษุสงฆ์รูปไหนมาเจอ ก็เก็บผ้านั้นนำไปใช้ได้เลย

กฐินมีอยู่ 2 ประเภท คือ กฐินหลวง กับ กฐินราษฎร์

กฐินหลวง 

ผ้ากฐินด้วยพระองค์เอง หรือบางที่ก็จะส่งตัวแทนพระองค์ไป ไม่ว่าจะเป็นวัดบวรนิเวศวิหาร วัดราชาธิวาส วัดอรุณราชวราราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นต้น กฐินหลวงยังแบ่งได้อีก2ประเภท กฐินพระราชทาน เป็นกฐินที่หน่วยงานราชการและคณะบุคลที่สำคัญ ที่สามารถ มาทูลขอผ้ากฐินของหลวงได้ แต่จะต้องทำเรื่องในการขอผ้ากฐินล่วงหน้า ต้องติดต่อไปยังกรมการศาสนาของกระทรวงวัฒนธรรมมิฉะนั้นก็จะไม่ได้ และจะต้องเป็นวัดหลวงในจังหวัดเท่านั้นถึงจะทูลขอได้ กฐินต้น เป็นกฐินที่พระเจ้าอยู่หัวทรงนำผ้าไปทอดกฐินด้วยพระองค์เอง แต่ไปอย่างไม่เป็นทางการ และจะไม่ใช่วัดหลวง เป็นการทำส่วนพระองค์เอง

กฐินราษฎร์ 

เป็นกฐินที่ประชาชนได้ทำการนำผ้าไปถวายตามวัดต่างๆ ยกเว้นวัดหลวงที่เข้าไปถวายผ้าไม่ได้ ส่วนกฐินราษฎร์ยังสามารถเรียกได้อีกหลายอย่างกฐินสามัคคี คือกฐินที่เกิดจากการรวมใจของชาวบ้าน ที่มีจุดประสงค์เดียวกันที่จะนำผ้ากฐินไปถวายวัดใด วัดหนึ่ง การทอดกฐินยังสามารถแยกได้อีกอย่างเช่นจุลกฐิน คือการทำกฐินแบบรีบเร่งและต้องทำให้จบในวันเดียว มหากฐิน คือการทอดกฐินในวัดที่ตัวเองศรัทธาเป็นพิเศษและจะถวายของใช้รวมได้ด้วย กฐินตกค้าง คือการทอดกฐินตามวัดที่ไม่ค่อยมีคนไปถวายผ้ากฐิน และผู้มีจิตศรัทธาในศาสนาก็จะตามหาวัดเหล่านี้ เพื่อจะนำถวายผ้ากฐินแต่ส่วนมากจะทำใกล้หมดเทศกาลทอดกฐิน

การทอดกฐินถือได้ว่าเป็นการทำบุญที่ได้กุศล ผลบุญดีเพราะการทอดกฐินนี้จะทำได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น และยังทำให้ชาวบ้านรักใคร่ร่วมมือร่วมใจกันจัดงานถวายกฐินและการทอดกฐินนี้ทำได้ทุกภาค ทุกจังหวัดไม่ถือว่าเป็นประเพณีที่สำคัญของภาคใดภาคหนึ่ง

ประวัติศาสตร์ในการค้นหาของมีค่าที่หายไป

ของมีค่าของกษัตริย์ที่ยังไม่ถูกค้นในพื้นที่หลายๆแห่งอีกทั้งก็ยังไม่สามารถทำการค้นหาได้เนื่องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่สมบัตินั้นได้จมไปนั้นมันอยู่ที่ใดและสมบัติแต่ละหีบนั้นก็มีของมีมูลค่ามากมายที่ไม่สามารถระบุราคาได้ที่ยังต้องรอคอยการค้นพบอยู่ในปัจจุบัน

สมบัติบนเรือSan Miguel มีเพียงสองสิ่งในอดีตเท่านั้นที่จะสามารถจมเรือได้หนึ่งคือสงครามและสองคือพายุพายุเฮอริเคนเป็นเช่นเดียวกันกับของเรืออื่นๆที่โดยพายุเฮอริเคนจมเรือทั้งลำแม้ว่ามันจะเป็นหนึ่งในบันดานเรือเดินทางพร้อมๆกันในการรวบรวมสมบัติจากหลายแห่งเพื่อระดมทุนจัดทัพทำสงครามของประเทศสเปนซานมิเกลเป็นเรือลำเล็กแต่ด้วยความที่มันเล็กจนจึงได้เร็วกว่าเรือชนิดอื่นๆ

และนั่นเองมันจึงเลยถูกจัดเป็นเรือขนส่งสิ่งสำคัญและล้ำค่าที่สุดในการขนส่งกิจเพื่อจัดทัพทำสงครามของสเปนนี้ได้เริ่มต้นในปี1175และในตามแผนของพวกเขาก็คือต้องการที่จะรอเวลาที่ไกล้กับเวลาเฮอริเคนมากที่สุดเรียกได้ว่าจะออกเดินทางก่อนพายุเฮอริเคนจะมาแบบชิตๆ

เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาโจรสลัดที่มีในอดีคแต่อาจจะเป็นเพราะในการคำนวนที่ผิดพลาดนั้นการเดินทางที่ล่าช้าหรือสภาพอากาศในสมัยก่อนยังไม่แม่นยำจึงทำให้พายุเฮอริเคนตามหลังและตามมาทันเรือทั้งหมดและได้จมเรือทุกลำในการขนส่งนี้ตามคาดจากสายตาโจรสลัดได้และแน่นอนว่าไม่มีใครบนโลกนี้สามารถเห็นสมบัติด้วยเหมือนกันหลังจากที่พายุนั้นได้สงบจากนั้นก็ได้มีการหาสมบัติที่ศูนย์หายไปและได้ถูกค้นพบเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น

ส่วนเรืออนั้นสามารถพบเห็นได้6-7ลำแต่ก็ยังเหลืออีกหนึ่งเรือนั้นที่ไม่สามารถพบเห็นได้ซึ่งเป็นเรือลำเล็กที่สุดเร็วที่สุดและบันทุกของมีค่ามากที่สุดด้านซานมิเกลก็ยังรอคคอยในการค้นพบมาจนถึงทุกวันนี้

มงกุฏเพชรของพระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษ

มงกุฏเพชรของราชวงอังกฤษได้รับการยอมรับเป็นอัญมณีที่มีค่ามากที่สุดมงกุฏเพชรของราชวงถูกเก็บไว้อยู่ภายใต้ความปอดภัยที่หอคอยลอนดอนโดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูอย่างหนาแน่นที่ผ่านมามงกุฏเพชรของกษัตริย์อังกฤษก็ได้ถูกขโมยและถูกทำลายมาหลายครั้งแล้วแต่สำหรับมงกุฏเพชรกษัตริย์King Johnได้

ศูนย์หายไปในปี2016เมื่อกษัตริย์King Johnของพระองค์มาจากแขวงวอเซและพยายามข้ามแม่น้ำโซเฟียเป็นเพราะพระองค์ได้คำนวนพลาดไปจึงได้หายเสียสัมภาระที่นำมาจมลงไปกับสายน้ำรวมทั้งหีบที่เก็บของมีค่าทั้งหมดด้วยจากนั้นก็ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาเพราะเสียใจที่สมบัติหายเพราะว่าประมูลค่าไม่ได้พระองค์ก็ได้เสียชีวิตในเวลาดังกล่าว